ต้องยอมรับเลยว่าการซื้อขายอสังหาฯ ในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องยาก
โดยเฉพาะคนที่อยากมีบ้านแต่ไม่พร้อมที่จะกู้ธนาคาร เนื่องจากสถานการณ์ ณ ปัจจุบันนี้
ทางธนาคารค่อนข้างที่จะอนุมัติอย่างระมัดระวัง ซึ่งปัญหาหลักๆ
ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ
มีดังต่อไปนี้
- อาชีพอิสระ มีรายได้ที่สามารถผ่อนได้
แต่กู้ได้ยากเนื่องจากหลักประกันไม่เพียงพอ
- การผ่อนตรงนอกระบบธนาคาร หรือนายทุน มีดอกเบี้ยสูง
อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้บ้าน/ห้อง
- กลุ่มที่ทำธุรกิจส่วนตัว
ต้องการที่จะเก็บเครดิตไว้สำหรับลงทุนหมุนเวียนต่อยอดในธุรกิจ
ทำให้ไม่สามารถใช้เงินเก็บในการซื้ออสังหาฯได้
- กลุ่มที่ยังไม่มีเงินก้อน ทำให้ไม่สามารถซื้ออสังหาฯ
ได้ทันที
จึงต้องใช้เวลาในการเก็บเงินให้ครบตามจำนวน
- กลุ่มระหว่างสร้างเครดิต เพื่อกู้ในอนาคต
ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ได้แก่
กลุ่มที่ไม่เคยเดิน Statement, ไม่มีเครดิต และติดเครดิตบูโร
สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการบ้าน แต่ยังไม่มีเครดิตที่เพียงพอ สามารถทำได้
3 วิธีดังนี้
1. การเช่า
- การเช่ารายเดือน : ผู้เช่าสามารถเข้าอยู่ในอสังหาฯนั้นได้เลย
แต่ไม่สามารถที่จะเป็นเจ้าของได้
เหมาะกับคนที่ไม่ได้ต้องการลงหลักปักฐานในพื้นที่นั้น
2. การซื้อ
- การซื้อด้วยเงินสด : เหมาะสำหรับกลุ่มคนที่ไม่มีภาระหนี้สิน
และมีเงินสดเพียงพอที่จะซื้ออสังหาฯนั้นๆ
- การกู้สถาบันการเงินนอกระบบ :
การซื้อโดยการกู้เงินจากสถาบันการเงินนอกระบบมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าปกติ
3. การเช่าซื้อ
- การผ่อนตรงกับโครงการ หรือเจ้าของ : การผ่อนกับเจ้าของบ้าน/โครงการโดยตรงสามารถทำได้
แต่มีความเสี่ยงที่เจ้าของบ้านจะไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้
- ผ่อนตรงกับนายทุน : การผ่อนประเภทนี้ ทางนายทุนจะเป็นคนที่ออกค่าบ้านให้
โดยที่ผู้ซื้อจะต้องจ่ายค่าเช่าและค่าซื้อให้กับนายทุน แต่ก็มีความเสี่ยงที่
นายทุนจะปรับเงินดอกเบี้ยให้สูงขึ้นหรือไม่โอนกรรมสิทธิ์ให้
หนึ่งในรูปแบบการซื้ออสังหาฯ ที่เปิดโอกาสให้คนที่กู้ไม่ผ่าน หรือมีเงินไม่เพียงพอ สามารถเป็นเจ้าของอสังหาฯได้ นั่นก็คือ การเช่าซื้อ (Rent to Buy) การเช่าซื้อ (Rent to Buy) คือ สัญญาในการซื้อทรัพย์สินด้วยการเช่าก่อนการโอนกรรมสิทธิ์เพื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินในภายหลัง ซึ่งผู้เช่าซื้อได้เป็นเจ้าของทรัพย์แน่นอน (Ref : ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ขยายความคือ ทางนักลงทุน (Investor) จะเป็นเจ้าของทรัพย์ของผู้เช่าซื้อ (Buyer) ในกรณีที่ผู้ขาย (Seller) ต้องการขายขาดรับเงินก้อน Juzmatch จะหานักลงทุนมาซื้อ ในส่วนของกรณีที่ผู้ขายจะเป็นเจ้าของทรัพย์ ผู้ขายจะให้ผู้เช่าซื้อ ผ่อนเช่าซื้อกับตนเอง โดยมี Juzmatch เป็นตัวกลาง แต่ทั้ง ผู้ขายและ นักลงทุนจะไม่ได้ให้สิทธิ์กับผู้เช่าซื้อโดยตรง แต่จะผ่าน Juzmatch ทางนักลงทุน/ผู้ขาย จะให้สิทธิ์ในการบริหารกับ Juzmatch และ Juzmatch จะให้สิทธิ์ในการเช่า แก่ผู้เช่าซื้อและให้ผู้เช่าซื้อ ผ่อนเพื่อลดหนี้ค่าบ้านไปพร้อมๆกันระหว่างอายุสัญญา และ Juzmatch ในนามของผู้บริหารสินทรัพย์นั้น จะให้สิทธิ์ในการซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ แก่ผู้เช่าซื้อ เมื่อสิ้นสุดสัญญา 3 ปี โดยมี Juzmatch เป็นตัวกลาง ผู้เช่าซื้อต้องจ่ายหนี้ส่วนที่เหลือแก่ Juzmatch ถึงจะโอนกรรมสิทธิ์อสังหานั้นได้ ( Juzmatch นำเงินที่ได้ไปเคลียหนี้ให้ นักลงทุน /ผู้ขายอีกที)
บทบาทของ Juzmatch คือ เป็นคนกลางระหว่าง ผู้ขาย (Seller), ผู้เช่าซื้อ (Buyer) และ นักลงทุน (Investor) ที่ Juzmatch เข้ามารับความเสี่ยง และช่วยเหลือให้การซื้อขายและลงทุนเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยทาง Juzmatch เป็นตัวแทนนักลงทุน (Investor) ในการซื้ออสังหาฯ นั้นๆ จากผู้ขาย (Seller) ที่ขายขาดให้กับนักลงทุน โดยมี Juzmatch เป็นผู้บริหารจัดการและรับความเสี่ยง แทนนักลงทุน ในขณะเดียวกันเองทาง Juzmatch ก็จะหาผู้เช่าซื้อให้มาเช่าและผ่อนตรงกับทาง Juzmatch โดยนักลงทุน (Investor) เองจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนซื้ออสังหาฯ นั้นอีกที นอกจากนี้แล้วทาง Juzmatch ก็มีเงื่อนไขกับผู้เช่าซื้อคือให้ระยะเวลา 3 ปี จ่ายโปะปิดสัญญา ก่อน 3 ปีได้ ไม่มีค่าปรับ
Juzmatch ช่วยผู้เช่าซื้อ (Buyer) ดังต่อไปนี้
- ข้อจำกัดน้อยกว่าการซื้อด้วยการกู้ธนาคาร
- ทางเลือกในการเลือกโครงการที่หลากหลาย เข้าอยู่ได้ทันทีโดยไม่ต้องกู้
ทั้งโครงการเก่าและใหม่
- ช่วยปรับปรุงเครดิตให้ ในระยะเวลาที่มากขึ้น
- มีโอกาสได้กำไรจากการขายเก็งกำไรในอนาคต ในกรณีที่ผู้ซื้อต้องการขาย
- ไม่มีความเสี่ยง (ในกรณีที่ต้องการยกเลิกในระหว่างติดสัญญา
สามารถยกเลิกได้โดยไม่เป็นภาระหนี้สิน)
- ดอกเบี้ยถูกกว่าสถาบันการเงินนอกระบบ
- ได้บ้านแน่นอน หากมีวินัยทางการเงิน เพราะทาง Juzmatch จะช่วยจัดการให้
- ถูกกว่าการเช่า และไปซื้อในอนาคต ในกรณีที่ต้องการซื้อในช่วงเวลาที่พร้อม
แต่ราคาทรัพย์นั้นๆ
อาจจะสูงขึ้นกว่าเดิมมาก
Juzmatch รับฝากขายทรัพย์ที่อยู่ในพื้นที่ดังต่อไปนี้
จังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล เชียงใหม่ ภูเก็ต ระยอง ชลบุรี หัวหิน ชะอำ นครปฐม อยุธยา
สระบุรี นครราชสีมา อุดรธานี และขอนแก่น
ประเภททรัพย์ที่เปิดรับ ได้แก่ บ้าน คอนโด และ อาคารพานิชย์
ไม่มีค่าใช้จ่ายในการฝากขายทรัพย์ แต่ในกรณีที่ขายทรัพย์ได้
จะมีค่าธรรมเนียมในส่วนของการโอน โดยจะแบ่งชำระฝ่ายละครึ่ง ระหว่างเจ้าของ
ทรัพย์ และ Juzmatch ซึ่งบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของค่าจดจำนอง และ
ผู้เช่าซื้อจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของค่าใช้จ่ายอื่นๆ
สามารถลงทุนได้ เพราะแพลตฟอร์มการลงทุนของ Juzmatch ถูกออกแบบขึ้นมาให้ง่ายและเหมาะสำหรับทุกคน ไม่จำเป็นว่านักลงทุนจะต้องมีประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์มาก่อน เพียงแค่นำเครดิตที่มีอยู่มาลงทุน โดย Juzmatch จะเป็นผู้ดูแลและจัดการให้ทุกขั้นตอนตลอดจนครบอายุสัญญา เปรียบเสมือนผู้จัดการส่วนตัวในการดูแลทรัพย์และการจัดหาผู้เช่าซื้อ รวมถึงทำหน้าที่จ่ายผ่อนธนาคารให้ในแต่ละเดือนอีกด้วย
นักลงทุนจำเป็นต้องมีสลิปเงินเดือนหรือเป็นพนักงานประจำที่มีรายได้ชัดเจน จากนั้น เจ้าหน้าที่จะขอข้อมูลของนักลงทุน เพื่อประเมินเครดิตเบื้องต้นว่า นักลงทุนมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ของบริษัทหรือไม่
นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนภายใน 60 วัน หลังจากทำสัญญาและมีการโอนกรรมสิทธิ์
บทบาทของ Juzmatch คือ เป็นคนกลางระหว่าง ผู้ขาย (Seller), ผู้เช่าซื้อ (Buyer) และ นักลงทุน (Investor) ที่ Juzmatch เข้ามารับความเสี่ยง และช่วยเหลือให้การซื้อขายและลงทุนเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยทาง Juzmatch เป็นตัวแทนนักลงทุน (Investor) ในการซื้ออสังหาฯ นั้นๆ จากผู้ขาย (Seller) ที่ขายขาดให้กับนักลงทุน โดยมี Juzmatch เป็นผู้บริหารจัดการและรับความเสี่ยง แทนนักลงทุน ในขณะเดียวกันเองทาง Juzmatch ก็จะหาผู้เช่าซื้อให้มาเช่าและผ่อนตรงกับทาง Juzmatch โดยนักลงทุน (Investor) เองจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนซื้ออสังหาฯ นั้นอีกที นอกจากนี้แล้วทาง Juzmatch ก็มีเงื่อนไขกับผู้เช่าซื้อคือให้ระยะเวลา 3 ปี จ่ายโปะปิดสัญญา ก่อน 3 ปีได้ ไม่มีค่าปรับ
ไม่มีผลใดๆ กับนักลงทุน เนื่องจากบริษัทจะทำหน้าที่ผ่อนจ่ายให้กับธนาคารในทุกเดือนตามปกติ ซึ่ง Juzmatch จะดำเนินการหาผู้เช่าชื้อรายใหม่ รวมถึงดูแลทรัพย์ให้อยู่ในสภาพดี และชำระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจนกว่าจะครบอายุสัญญา