จักรวาลการกู้บ้าน (Home Loan 101) รู้ให้ครบ ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน

เผยแพร่เมื่อ 20 มิ.ย. 2568

Event Image

         การซื้อบ้านหลังแรกคือ “หมุดหมายสำคัญ” ของชีวิตหลายคน และ “การกู้ซื้อบ้าน” คือประตูด่านแรกที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนจะได้จับจองบ้านในฝัน แต่โลกของการกู้บ้านมีมิติลึกซึ้ง ซึ่งหากเข้าใจจริง อาจช่วยประหยัดเงินได้หลักแสนหรือหลักล้านบาท บทความนี้จะพาคุณเข้าสู่ “จักรวาลการกู้บ้าน” เพื่อให้คุณรู้ตั้งแต่ก่อนกู้ ระหว่างกู้ และหลังกู้ เพื่อให้คุณตัดสินใจอย่างมั่นใจในได้ทุกขั้นตอน


การกู้ซื้อบ้านไม่ใช่เรื่องผิด แต่ควรกู้เมื่อ “พร้อม”

         ในอดีต บ้านเป็นทรัพย์สินที่สืบทอดมากกว่าซื้อขาย ที่ดินส่วนใหญ่เป็นของขุนนางหรือรัฐ ใครจะมีบ้านต้องสร้างเอง หรือรอรับมรดกจากครอบครัว จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นจากการมีระบบธนาคาร ที่ทำให้คนชนชั้นกลางสามารถกู้ซื้อบ้านเองได้โดยมีบ้านเป็นหลักประกัน ปัจจุบันค่านิยมของการซื้อบ้านของคนส่วนใหญ่เกือบ 100% จึงใช้วิธีขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหรือกู้ซื้อบ้านจากธนาคาร เพราะให้มีบ้านได้ง่ายและเร็วกว่าซื้อเงินสด

         “กู้ซื้อบ้าน ผิดไหม?”  ในโลกการเงิน “หนี้” หรือ “การกู้” ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “ความเข้าใจ” ของคนที่มีต่อมัน คนจำนวนมากมองว่าการกู้คือทางลัดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่อยากได้ทันที แต่ในความเป็นจริง การกู้หรือการเป็นหนี้คือ “เครื่องมือ” และเครื่องมือทุกชนิด หากใช้เป็น...ก็จะเกิดประโยชน์ได้มหาศาล แต่ถ้า ใช้ไม่ผิด...มันทำร้ายคนใช้ได้เช่นกัน

         เรามักได้ยินคำว่า “หนี้ดี (Good Debt)” และ “หนี้เสีย (Bad Debt)” อยู่เสมอ ซึ่งตามหลักการแล้ว หนี้ดีคือ หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้หรือมูลค่าเพิ่มในอนาคต ซึ่ง “หนี้บ้าน” ถูกจัดเป็นหนี้ดี เพราะบ้านเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ (ข้อมูลจากกรมธนารักษ์ระบุว่า ราคาประเมินที่ดินรอบปี 2566–2569 มีการปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทั่วประเทศประมาณ 8%) การกู้ซื้อบ้านจึงนับเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเพิ่มมูลค่า และสามารถใช้เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตทั้งของตนเองและครอบครัวในระยะยาว

         การกู้ซื้อบ้าน ไม่ใช่เรื่องผิด กู้ได้...แต่ควรกู้เมื่อ “พร้อม” และต้องมีวินัยทางการเงิน ก่อนตัดสินใจขอกู้ ควรมีการประเมินศักยภาพหรือความสามารถในการชำระหนี้ของตัวเองก่อนว่าอย่างไร ถ้าเราประเมินจุดนี้ได้ เราก็จะรู้ว่าเราควรซื้อบ้านหรือทรัพย์สินราคาเท่าไหร่ที่จะไม่ก่อหนี้เกินตัว

         หลักการประเมินคร่าว ๆ  ด้วยตัวเอง คือให้เราดูว่าเราผ่อนไหวเดือนละเท่าไหร่  แนะนำว่างบผ่อนต่อเดือนรวมหนี้สินทั้งหมดไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ที่มี หลังจากที่เรารู้แล้วว่ามีความสามารถในการจ่ายเดือนละเท่าไหร่ เราก็สามารถรู้ได้เลยว่าราคาบ้านที่เราควรเล็งหรือราคาบ้านที่น่าจะกู้ได้จะอยู่ที่กี่ล้านบาท ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ล้านละ 6,000-7,000 บาท
        
         ตัวอย่าง การคำนวณราคาบ้านที่น่าจะกู้ผ่าน หรือยอดวงเงินกู้สูงสุดที่คาดว่าจะได้ (คิดแบบล้านละ 6,000 บาท)

         เงินเดือนหรือรายได้ต่อเดือนเฉลี่ยที่ 30,000 บาท หากไม่มีหนี้สินอื่น สามารถตั้งงบผ่อนได้ = 30,000 x 40% = 12,000 บาท ดังนั้น ราคาบ้านที่สามารถขอกู้ได้ = 12,000 x 1,000,000/6000 = 2,000,000 หรือ ราคาบ้านสูงสุด คือ 2 ล้านบาท
       

         สูตรประเมิน ราคาบ้านสูงสุด = (รายได้ต่อเดือน x 40%) x (1,000,000 / 6,000)
        
         หากเราประเมินตัวเอง บวกลบคูณหารถี่ถ้วนแล้ว คิดว่าเราผ่อนไหว เลือกราคาบ้านเป็น ก็เดินหน้าหาบ้านในฝันและหาแหล่งเงินทุนได้เลย


3 พื้นฐานเรื่องที่ควรเข้าใจ: ประเภทสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย และปัจจัยที่ธนาคารจะปฏิเสธการปล่อยกู้


         1. ประเภทสินเชื่อ
ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมีสินเชื่อหลากหลายประเภท เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่เป็นการกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน คอนโด หรือที่ดินพร้อมบ้าน และสามารถใช้บ้านเป็นหลักประกันได้ นอกจากนี้ยังมี สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้านแลกเงิน/รถแลกเงิน สินเชื่อเพื่อการศึกษา/สินเชื่อเฉพาะกิจ เป็นต้น
         ในบรรดาสินเชื่อหรือเงินกู้ทั้งหมด เงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยต่ำที่สุด ดังนั้นหากจะกู้ซื้อบ้าน ต้องเลือกประเภทให้ถูก เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ หากใช้ผิดประเภทอาจนำไปสู่ภาระทางการเงินที่ไม่เหมาะสม เช่น ผ่อนแพงเกิน หรือระยะเวลาผ่อนสั้นเกินไปก็ได้


         2. อัตราดอกเบี้ย
พอรู้ว่ามีสินเชื่อหลายแบบแล้ว ก็มาถึงเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจที่สุด คือ “ดอกเบี้ย” ซึ่งมี 2 รูปแบบหลัก
         ▪︎ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate)
หมายถึง อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้เป็นตัวเลขเฉพาะ ซึ่งก็มีรายละเอียดย่อยอีกหลายแบบ เช่น คงที่ตลอดอายุสัญญา คงที่เฉพาะช่วงต้น (เช่น 3 ปีแรก) หรือ คงที่เป็นช่วงขั้นบันได
         ▪︎ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate)
แบบนี้จะซับซ้อนกว่าเล็กน้อย เริ่มที่นิยามก่อน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว หมายถึง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เปลี่ยนแปลงไปตามต้นทุนของธนาคาร ซึ่งธนาคารจะประกาศออกมาเป็นคราว ๆ ไป แต่ละธนาคารก็จะมีฐานอัตราที่ต่างกัน ขึ้นกับนโยบายและสภาพตลาด แต่สิ่งที่เหมือนกันคืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์ใช้อ้างอิงในการเรียกเก็บดอกเบี้ยเงินกู้จากลูกค้ารายย่อยจะเรียกว่า MRR (Minimum Retail Rate) และธนาคารจะกำหนดเป็นอัตราเพิ่มหรือลดเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เช่น MLR +/- x%


         ตัวอย่าง: สินเชื่อที่ระบุ “MRR -1.5%” หมายความว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงจะขึ้นอยู่กับว่า MRR ของธนาคารนั้นอยู่ที่เท่าไร เช่น ถ้า MRR = 6.5%, ดอกเบี้ยที่จ่ายจริงคือ 5%

         ข้อควรระวัง เวลาดู MRR อย่าดูแค่ตัวเลขไหนน้อยกว่า เช่น ดูแค่ว่า “MRR -2%” เทียบกับ “MRR -1.5%” ไม่ได้  ควรจะดูค่าจริงของ MRR แต่ละธนาคารด้วย เพราะธนาคารบางแห่ง MRR อาจสูงกว่า ทำให้ดอกเบี้ยแท้จริงที่ต้องจ่ายแพงกว่านั่นเอง

         จะเลือกแบบไหนดี ดอกเบี้ย คงที่ หรือ ลอยตัว ดีกว่า? คำตอบคือ ไม่มีคำตอบที่ถูก 100% แต่พอมีแนวทางให้คิดต่อได้ คือ
         ​​​​​​​▪︎ ควรเลือกดอกเบี้ยคงที่ ถ้าคาดว่าดอกเบี้ยในอนาคตจะสูงขึ้น ขณะที่รายได้คุณมีลักษณะเป็นตัวเลขประจำ คุณต้องการความมั่นใจว่าผ่อนตัวเลขเท่าเดิมทุกเดือน (ทั้งนี้ต้องดูดี ๆ เพราะช่วงแรก เช่น 3 ปีแรก บางธนาคารจะกดอัตราดอกเบี้ยลง จัดโปรโมชันที่ถูกมาก เพื่อดึงดูด แต่ปีท้าย ๆ ดอกเบี้ยจะเด้งสูงขึ้น) หรือ
         ▪︎ ควรเลือกดอกเบี้ยลอยตัว ถ้าคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอ ดอกเบี้ยอาจลดลง และคุณมีแผนปิดหนี้ไว มีโอกาสมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงพร้อมบริหารเงินและความเสี่ยงด้วยตัวเอง 
​​​​​​​

         3. ปัจจัยที่ธนาคารจะปฏิเสธการปล่อยกู้
หากเจอบ้านในฝันแล้ว ไปขอกู้ธนาคารแล้วกู้ผ่านได้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีด้วย แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่รู้ ๆ กันดีว่า การเข้าถึงสินเชื่อหรือเงินกู้ธนาคารยากมาก 50-70% โดนปฏิเสธ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อมีดังนี้

A screenshot of a phoneAI-generated content may be incorrect.
แหล่งเงินทุนไม่ได้มีทางเดียว รู้ให้ครบ เข้าใจให้ลึก ก่อนตัดสินใจเป็นหนี้
 
         การกู้ธนาคารไม่ใช่ทางเลือกเดียวในการเป็นเจ้าของบ้านแล้ว ถ้ามั่นใจว่าคุณมีความพร้อมทั้งในแง่การเงินและความเข้าใจตัวเอง อย่าตั้งโจทย์ว่ากู้ผ่านมั้ย...แต่ให้ตั้งโจทย์ว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะเป็นเจ้าของบ้านได้... ถ้าเป้าหมายคุณชัดเจน ทุกอย่างมีทางไปเสมอ ก็เหมือนกับการขับรถไปยังเป้าหมาย หากขับไปตามทางหลักแล้วดันไปเจอทางตัน คุณก็แค่ถอยออกมาตั้งหลักแล้วลองหาเส้นทางใหม่อีกครั้ง (Reroute) สุดท้ายคุณก็ไปถึงเป้าหมายได้เหมือนกัน แต่ถ้าวันนี้คุณยังไม่ได้สตาร์ทเครื่อง ลองมาดูก่อนว่าเส้นทางไหนที่ดีและเหมาะกับคุณมากที่สุด เส้นทางที่เลือกแล้วไม่ต้องเสียเวลาเจอทางตันมีเส้นทางไหนบ้าง

A screenshot of a phoneAI-generated content may be incorrect.

         สรุป หากเจอบ้านในฝันแล้วและ ตั้งใจซื้อบ้านโดยตรง กู้ธนาคารคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะมีวงเงินสูง ระยะเวลาผ่อนชำระยาว ดอกเบี้ยต่ำ และใช้บ้านเป็นหลักประกันได้ตามกฎหมาย แต่ถ้าคุณพร้อมกู้ ก็เตรียมเอกสาร ซึ่งจะมีหลัก ๆ 3 หมวด คือเอกสารประจำตัว เอกสารเกี่ยวกับรายได้ และเอกสารอื่น ๆ ตามธนาคารกำหนด (ตามรูป)

A screenshot of a phoneAI-generated content may be incorrect.
        
         แต่หากเราประเมินตัวเองแล้ว อาจจะเสี่ยงกู้ไม่ผ่าน หรือได้ยื่นขอกู้ไปแล้วและถูกธนาคารปฏิเสธมาแล้ว JUZMATCH คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะง่าย ย้ายเข้าอยู่ได้รวดเร็ว ได้อยู่ก่อนซื้อ ทางเลือกที่ดีที่ช่วยให้คุณเป็นเจ้าของบ้านได้ขณะเช่า และมีเวลาในการวางแผนเครดิต แล้วค่อยไปกู้ธนาคารภายหลัง (ปีที่ 4) ส่วนการกู้ Non-Bank ก็พอใช้ได้ เฉพาะในกรณีเงินก้อนเล็ก เช่น เตรียมเงินดาวน์ แต่หากจะใช้เงินกู้จาก Non-Bank เพื่อซื้อบ้านทั้งหลังคงจะไม่เหมาะสม เพราะวงเงินและระยะเวลาการผ่อนชำระจำกัด​ และที่สำคัญคือ ไม่ควรกู้ “นอกระบบ” เพื่อซื้อบ้านเด็ดขาด เพราะเสี่ยงเจอดอกเบี้ยมหาโหด ถูกโกง เสียทั้งเงินทั้งบ้าน เสียงชื่อเสียง และความฝันในการเป็นเจ้าของบ้านด้วย วันนี้คุณยังไม่พร้อมจริง ๆ “การเช่าก่อน” ก็ไม่ใช่ความล้มเหลว เพราะหลายคนที่เป็นเจ้าของบ้านวันนี้ก็เคยเช่ามาก่อนเช่นกัน หรือคุณลองมาปรึกษา JUZMATCH ดูก่อน ทางเลือกในการ “เช่าเพื่อซื้อ” ที่ช่วยให้คุณได้บ้านสมดังหวัง มีเวลาในวางแผนทางการเงินให้พร้อม ก่อนยื่นกู้ธนาคารภายหลังได้


ไม่ต้องกู้ ก็เป็นเจ้าของบ้านได้ กับ JUZMATCH
        
         หากคุณเป็นคนที่กำลังจะขอสินเชื่อแต่คิดว่าน่าจะโดนปฏิเสธ  หรือกำลังเป็นหนึ่งใน 50-70% ที่โดนปฏิเสธมาแล้ว ไม่ว่าจะจากสารพัดสาเหตุต่อไปนี้...เช่น เคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ อายุที่มากเกินกำหนด มีการย้ายที่ทำงานระหว่างทำเรื่องกู้ มีอาชีพอิสระ ไม่มีข้อมูลการทำงานและพื้นฐานอาชีพที่น่าเชื่อถือเพียงพอ เงินหมุนเวียนและเงินเก็บในรายการเดินบัญชีน้อย (ทั้งที่เงินน้อยและแยกหลายบัญชี) ฐานเงินเดือนไม่พอในการกู้บ้านราคานี้ มีปัญหาจากผู้กู้ร่วม หรือโดยไม่ทราบสาเหตุ... ไม่เป็นไร ขอแค่คุณเชื่อมั่นในตัวเองว่าคุณเป็นคนมีศักยภาพ JUZMATCH พร้อมช่วยคุณ

         JUZMATCH เป็นถนนเส้นใหม่ในการเป็นเจ้าของบ้าน ลูกค้าเรามีทั้งที่เปลี่ยนมาใช้ JUZMATCH เป็นถนนสายหลักเลย และที่ใช้เป็นทางผ่านชั่วคราว แล้วกลับสู่เส้นทางหลัก กล่าวคือเช่าเพื่อซื้อก่อน แล้วค่อยกู้ธนาคารต่อ ทุกคนก็มีสิทธิ์เลือกได้ แต่ความพิเศษคือจากวันที่ JUZMATCH เป็นรายแรกของเช่าเพื่อซื้อบนความตั้งใจในการช่วยให้คนอยากมีบ้าน มีบ้านได้ จวบจนวันนี้เรา พิสูจน์ให้ลูกค้าเราเห็นแล้วว่า เราไม่ทิ้งลูกค้า และนี่คือตัวอย่างเรื่องเล่าจากลูกค้าเช่าเพื่อซื้อจริงกับเรา

เรื่องจริงเช่าเพื่อซื้อ แล้วโปะปิดจากคุณ โมจิ
จากความฝันที่เกือบหลุดมือ... สู่บ้านหลังแรกในชีวิต


         บ้านหลังแรก สำหรับหลายคนคือความฝัน แต่สำหรับคุณโมจิ อินฟลูเอนเซอร์สาวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นคือเป้าหมายที่เธอวางไว้ชัดเจน เพื่อใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างอบอุ่นในบ้านเดี่ยวที่เป็นของตัวเอง

         คุณโมจิรายได้ดี มีงานต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ “ธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อ” เพราะรายได้ของเธอไม่เข้าเกณฑ์แบบรายเดือน ไม่มีใบรับรองเงินเดือน ทั้งที่รายได้จริงมากพอจะผ่อนได้สบาย แต่กลับไม่มีสิทธิ์กู้ เหมือนฝันจะต้องพักไว้กลางทาง แต่คุณโมจิไม่ยอมแพ้ เธอเลือกทางเลือกใหม่ เช่าเพื่อซื้อกับ JUZMATCH เพราะง่ายกว่า แค่เลือกบ้านที่ชอบ เซ็นสัญญาไม่ยุ่งยาก ก็ได้เข้าอยู่ทันทีโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากธนาคาร และภายในไม่ถึงเดือนหลังเข้าอยู่ ทีม Home Ownership Advisory ของ JUZMATCH ก็เข้ามาช่วยวางแผนการเงินให้แบบเฉพาะตัว ช่วยให้เธอสามารถโปะปิดบ้านได้ในเวลาเพียง 1 ปีครึ่ง กลายเป็นเจ้าของบ้านสมบูรณ์แบบ ไม่มีภาระหนี้ยาว ไม่มีดอกเบี้ย

         จะเห็นได้ว่าเส้นทางเช่าเพื่อซื้อ แล้วโปะปิดกับ JUZMATCH นี้ไม่ใช่ทางลัด แต่เป็น “ทางเลือกที่ฉลาดและปลอดภัย” สำหรับคนที่มองเห็นโอกาสในวันที่ระบบเดิมไม่เปิดทางให้

เรื่องจริงเช่าเพื่อซื้อ แล้วกู้ออก จากคุณภานุ
จากโอกาสที่เกือบหลุดลอย... สู่บ้านหลังใหม่ที่ได้มาทันใจ


            คุณภาณุ ฟรีแลนซ์หนุ่ม ผู้มุ่งมั่นในการทำงาน ในช่วงที่ต้องทำงานจากบ้านบ่อยขึ้น คุณภาณุเริ่มมองหาบ้านที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการทำงาน สภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมสำหรับชีวิต จนไปเจอบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งที่ทั้งทำเลดี ราคาดี และตรงใจแบบไม่ต้องคิดนาน

         แต่ด้วยภาระบ้านอีกหลังที่ยังผ่อนอยู่ เมื่อเขาไปยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารทำให้ธนาคารตัดคะแนนเครดิต และไม่สามารถกู้ได้เต็มวงเงินที่ต้องการ แทนที่จะปล่อยให้บ้านในฝันหลุดมือไป คุณภาณุเลือกเส้นทางใหม่เช่าเพื่อซื้อกับ JUZMATCH เพราะรวดเร็วกว่าและชัวร์กว่า เขาจองบ้านมูลค่า 6.3 ล้านบาท และภายใน 30 วันก็เซ็นสัญญา ย้ายเข้าอยู่ได้ทันที จ่ายค่าเช่าพร้อมค่างวดเดือนแรก จากนั้นทีม Home Ownership Advisory ของ JUZMATCH ก็เข้ามาช่วยวางแผนการเงินและการเดินบัญชีอย่างมืออาชีพ ทำให้เพียง 6 เดือนต่อมา คุณภาณุก็สามารถยื่นกู้กับธนาคารผ่าน พร้อมเปลี่ยนไปใช้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม ที่พิเศษกว่านั้นคือ ไม่ใช่แค่ได้บ้านทันใจ แต่ยังได้ราคาถูกกว่าตลาดอย่างเห็นได้ชัด เพราะราคาประเมินบ้าน ณ วันที่ยื่นกู้ธนาคารสูงถึง 7.7 ล้านบาท ในขณะที่ราคาบ้านที่คุณภาณุทำสัญญากับ JUZMATCH ถูกล็อกราคาไว้ตั้งแต่วันแรกที่ 6.3 ล้านบาท เท่ากับได้บ้านถูกกว่าราคาตลาดถึง 1.4 ล้านบาท
         เส้นทางนี้เช่าเพื่อซื้อ แล้วกู้ออกกับ JUZMATCH ไม่ใช่แค่เร็วกว่าชัวร์กว่า... แต่ยังให้ความ “คุ้มกว่า ถึงหลักล้าน”อย่างแท้จริง


เช่าเพื่อซื้อแล้ว...โปะปิด VS เช่าเพื่อซื้อแล้ว...กู้ออก

05.png

เช่าเพื่อซื้อ แล้วโปะปิด เหมาะกับใคร ?
         เหมาะสำหรับ ผู้ที่ไม่ต้องการยื่นกู้ธนาคาร ไม่ต้องการเป็นหนี้ระยะยาว มีเงินก้อน หรือวางแผนจะมีในอนาคต และไม่อยากผ่อนบ้านนาน 30 ปี
เช่าเพื่อซื้อ แล้วโปะปิดตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการล็อกบ้านไว้ก่อน เช่น เจอบ้านทำเลดี ใกล้ครอบครัว หลังสุดท้ายในโครงการ หรืออยากอยู่ติดกับญาติ โดยสามารถเช่าอยู่ไปก่อน และเมื่อพร้อมก็โปะจ่ายทีเดียว ทำให้เป็นเจ้าของบ้านได้ทันที ลดทั้งดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อน เป็นทางเลือกที่เหมาะกับคนวางแผนการเงินได้ดี และต้องการปลดหนี้เร็ว
         รูปแบบการเช่าเพื่อซื้อที่ควรเลือก คือ รูปแบบ JUZMove ที่ Mark up 0%


เช่าเพื่อซื้อ แล้วกู้ออก เหมาะกับใคร ?
         เหมาะสำหรับ ผู้ที่ยังไม่พร้อมยื่นกู้ธนาคาร เช่น เพิ่งผ่านวิกฤตการเงิน มีภาระหนี้ชั่วคราว เอกสารรายได้ยังไม่ครบ แต่ต้องรีบซื้อบ้านด่วน เช่น ภายใน 30–60 วัน
        
         เช่าเพื่อซื้อ แล้วกู้ออก เปิดโอกาสให้ถือครองบ้านได้ก่อนเลย แล้วค่อยรีไฟแนนซ์เมื่อพร้อม มักใช้ในสถานการณ์เร่งด่วน เช่น เจอบ้านราคาดี ทำเลเด่น หรือเจ้าของต้องการขายด่วน เหมาะกับผู้ที่มั่นใจว่าสามารถจัดการการเงินให้พร้อมภายในไม่กี่เดือนถึงหนึ่งปี ได้บ้านเร็วทันใจ พร้อมแผนรีไฟแนนซ์รองรับในอนาคต

         รูปแบบการเช่าเพื่อซื้อที่ควรเลือก คือ รูปแบบ JUZLite ที่ค่าเช่าเพียงล้านละ 6,000-6,700 บาท (ขึ้นกับประเภททรัพย์)

         สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะอยากเช่าเพื่อซื้อ แล้ววางแผน “โปะปิดเต็มจำนวน” เพื่อปลดภาระเร็ว หรือจะเช่าเพื่อซื้อแบบเตรียม “กู้ออกกับธนาคาร” เมื่อพร้อมในภายหลัง JUZMATCH ก็พร้อมช่วยให้เป็นเจ้าของบ้านได้ตามที่คุณปรารถนา ด้วยทางเลือกที่ฉลาดปลอดภัย และตอบโจทย์ทุกรูปแบบการเงินของคุณ ด้วยทีมที่ปรึกษาด้านการเป็นเจ้าของบ้านมืออาชีพ (HOA: Home Ownership Advisory) พร้อมวางแผนให้คุณก้าวสู่การเป็นเจ้าของบ้านอย่างจริงใจและจริงจัง หากต้องการประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเช่าเพื่อซื้อ หรือปรึกษาเส้นทางที่เหมาะสมในการเป็นเจ้าของบ้านของคุณ ปรึกษาเราฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

 

ป้ายกำกับ:

แชร์: