ในภาวะที่เศรษฐกิจผันผวน ตลาดเงินและตลาดทุนไร้ทิศทาง นักลงทุนจำนวนมากกำลังมองหาทางเลือกใหม่ ที่ไม่เพียงปลอดภัย แต่ยังมีศักยภาพในการเติบโต คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “จะลงทุนในอะไร” แต่คือ “จะลงทุนอย่างไรให้ฉลาด ปลอดภัย และเติบโตได้จริง?”
JUZMATCH ได้จัดงานสัมมนา JUZMATCH Investor Club 2025 ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ภายใต้ธีม Smart & Secure ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ โดยมีนักลงทุนอสังหาฯ ของ JUZMATCH และผู้สนใจลงทุนร่วมงานกว่า 400 ราย โดยงาน คุณณัฏฐ์ บุญญาภิบาล COO JUZMATCH ได้เปิดเสวนาชวนเจาะลึกเทรนด์การลงทุนที่แม่นยำสำหรับนักลงทุนไทย ในหัวข้อ “Precise Trends & Thai Market Outlook” โดยได้เชิญ คุณกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่ สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) สายลึกการลงทุน และคุณนรีกุล เกตุประภากร (หมอฟรัง) นักแสดง อินฟลูเอนเซอร์ และผู้ประกอบการ ตัวแทนนักลงทุนรุ่นใหม่ มาร่วมกระทบความคิดเพื่อค้นหา “การลงทุนที่ฉลาดและปลอดภัย (Smart&Secure)” บทความนี้จึงได้สรุป 4 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
Mega Trend เปลี่ยนไป เทรนด์ไหนยังอยู่และนักลงทุนไทยควรรู้
ในโลกที่เทรนด์เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว คนจำนวนไม่น้อยอาจสับสนระหว่างสิ่งที่ “กำลังมาแรง” กับสิ่งที่ “คงอยู่ระยะยาว” คุณกวี ชวนทุกคนทำความเข้าใจคำว่า Mega Trend ว่าแท้จริงแล้วมีทั้งเทรนด์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง (เทรนด์ใหญ่) และเทรนด์ที่เปลี่ยนไป (เทรนด์ย่อย) เช่น การสื่อสารคือเทรนด์ใหญ่ ส่วนเทคโนโลยีการสื่อสารคือเทรนด์ย่อย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น เราเริ่มสื่อสารจากนกพิราบส่งสารก่อน เปลี่ยนมาเป็นคนส่งไปรษณีย์ อีเมล โทรศัพท์ สุดท้ายมาเป็นไลน์ เพราะฉะนั้นรูปแบบการสื่อสารมันเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี แต่ Megatrend เรื่องสื่อสารไม่เคยหายไป และในอนาคตเรายังคงต้องสื่อสารกันอยู่ ดังนั้นการสื่อสารคือ Megatrend
หากจะตอบว่าอะไรคือ Mega Trend ที่ควรรู้และควรลงทุน ส่วนตัวคุณกวีเลือกลงทุนใน Megatrend ที่เป็นเทรนด์ใหญ่ (ไม่ใช่เทรนด์ย่อย) และหากมองมาที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ก็นับเป็นเทรนด์ใหญ่เช่นกัน
“Mega Trend มีทั้งเทรนด์ใหญ่ และเทรนด์ย่อย
อสังหาฯ คือ เทรนด์ใหญ่ที่คงอยู่ตลอด แค่เปลี่ยนรูปแบบ”
— คุณกวี ชูกิจเกษม, Chief portfolio advisory Pi securities PCL —
เศรษฐกิจไทยกับตลาดอสังหาฯ อยู่ในจังหวะวิกฤตแล้วหรือไม่
คุณณัฏฐ์ วิเคราะห์ภาพใหญ่เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ที่สร้างความกังวลให้กับหลาย ๆ คน ทั้งจาก GDP ที่เติบโตช้า ระดับหนี้ครัวเรือนไทยยังสูงและยังคงเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หากมองมาที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็ย่อมได้รับกระทบเช่นกัน แต่หากจะบอกว่าตลาดอสังหาฯ อยู่ในภาวะวิกฤตก็ไม่ถูกต้อง เพราะถ้ามองลึกลงไปในตลาดของที่อยู่อาศัย จริงๆ มีทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้ที่ได้ประโยชน์ในเวลานี้
กลุ่มที่เจ็บหนักที่สุดในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คือกลุ่มที่มีของอยู่ในมือมากเกินไป เช่น ผู้พัฒนาอสังหาฯ (Developer) เพราะช่วงนี้ตลาดมีความต้องการซื้อลดลงไม่สมดุลกับของที่มี รวมถึงการกู้ไม่ผ่านจากภาระหนี้ครัวเรือนและกฎเกณฑ์สินเชื่อที่เข้มงวดสูงขึ้น ทำให้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ Shift Strategy หันไปพัฒนาโครงการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น และกลยุทธ์ที่จะทำให้มีสภาพคล่องระบายสต๊อกได้ได้คือการลดราคา เพื่อดึงดูดผู้ซื้อในตลาดที่มีกำลังซื้อ นักลงทุนรายย่อยที่อาจจะถือทรัพย์อยู่ในมือจำนวนมาก ต้องแข่งราคาบ้านมือสองกับบ้านมือหนึ่งรายใหญ่ จึงเรียกได้ว่า ช่วงนี้เป็นวิกฤตสำหรับคนมีของล้นมือ
ในทางกลับกัน ช่วงนี้ ก็เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย และเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่กำลังสนใจการลงทุนที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกันและมูลค่าเติบโตได้ เนื่องจากในช่วงเวลาที่ตลาดชะลอตัว ราคาอสังหาฯ จะตก เป็นโอกาสที่ดีในการที่จะเข้าไปลงทุน นักลงทุนเองก็จะได้ต้นทุนที่ต่ำลง ซึ่งโดยปกติตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงเป็นวัฏจักร (Real Estate Cycle) ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระยะหลัก คือ Recovery (ระยะฟื้นตัว), Expansion (ระยะขยายตัว), Hyper Supply (ระยะล้นตลาด), Recession (ระยะถดถอย) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในจุดที่เริ่มมี Over Supply ในบาง Segment โครงการบางทำเลเริ่มมีการเร่งระบายสต๊อก เป็นจังหวะที่ผู้ถือเงินสดและมีเครดิตดีเข้าถือครอง เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้สูงขึ้นในอนาคต
“ในตลาดอสังหาฯ ไม่ได้มีวิกฤตที่แท้จริง มันเป็นวิกฤตสำหรับคนกลุ่มนึง
แต่เป็นโอกาสสำหรับผู้ซื้อและนักลงทุนที่พร้อม”
— คุณณัฏฐ์ บุญญาภิบาล, COO & Co-Founder JUZMATCH
อะไร คือสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ควรหลบภัยในปีนี้
คุณกวี ชวนทำความเข้าใจ Safe Haven ว่าคือที่พักที่ปลอดภัยในบางช่วงเวลา เป็นการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วในรอบหลายร้อยปี ว่าสามารถให้ผลตอบแทนต่อเนื่องในระยะยาว และคนมีความเชื่อในการลงทุนนั้น ไม่ว่าจะ ทองคำ หุ้น พันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้เอกชน คือ Safe Haven ทั้งหมด อสังหาฯ คือหนึ่งใน Safe Haven เพียงแต่จะถูกเรียกว่า Safe Haven ในบางช่วงเวลา อย่างเช่น เวลาเศรษฐกิจดี ตราสารหนี้เอกชน พันธบัตรรัฐบาล จะถูกเรียกว่าเป็น Safe Haven แต่เวลาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหนัก ๆ อย่างตอนนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา กลับไม่ได้ถูกมองว่าเป็น Safe Haven เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะคนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย
คุณณัฏฐ์ เสริมมุมมองว่า Safe Haven ไม่ได้อยู่ที่สินทรัพย์ แต่ขึ้นอยู่กับ “ช่วงเวลา” และ “ความต้องการจริง” เพราะหุ้นบางตัว พันธบัตรรัฐบาลบางรัฐบาล หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ก็อาจจะมีตัวที่เป็นและอาจจะมีบางตัวที่ไม่ใช่ เช่นเดียวกับ อสังหาฯ ที่ไม่ใช่ทุกอสังหาฯ ที่เป็น Safe Haven เพราะอสังหาฯ มีหลายตัวแปร มีทั้งเรื่องของทำเล ราคา ซึ่งหากจะบอกว่าอสังหาฯ แบบไหนเป็น Safe Haven คุณณัฏฐ์มองว่า ต้องเป็นอสังหาฯ ที่มีความต้องการซื้อหรือความต้องการเช่าจริง ๆ อยู่แล้ว (Real Demand) แต่ปัญหาคือ นักลงทุนบางครั้งก็ไม่รู้ ว่าอสังหาฯ ที่จะลงนั้นจะมีความต้องการจริงหรือเปล่า หรือหากมีตอนนี้แล้ว ในอนาคตจะยังมีอยู่หรือไม่
ปรัชญาการลงทุนของ JUZMATCH คือ เราจะไม่เข้าไปลงทุนในอสังหาที่ไม่มี Real Demand เพราะฉะนั้น ทรัพย์ทุกยูนิตที่เข้ามาในพอร์ตของ JUZMATCH จะมีการคัดเลือกมาแล้วว่าเป็นบ้านที่มีคนอยากเข้าไปอาศัยจริง ๆ เพราะผู้ซื้อยินดีที่จะจ่ายเงินล่วงหน้าอยู่ที่ 10% ของราคาบ้าน ดังนั้นเรามั่นใจได้ว่าเราเป็นคนที่รู้เฉลยในการลงทุน รู้ว่าอสังหาฯ ที่มีความต้องการจริงอยู่ที่ไหน ดังนั้นนักลงทุน JUZMATCH ปลอดภัย เพราะเรากำลังลงทุนในอสังหาฯ ที่มี Real Demand จึงไม่ต้องเสี่ยงขาดทุน
ในด้านการกระจายความเสี่ยงของ JUZMATCH ปัจจุบันเราถือครองทรัพย์มากกว่า 2,300 หลัง ครอบคลุมหลากหลาย Segment ทั้งในด้านราคา ประเภททรัพย์ และทำเล โดยทุกยูนิตผ่านการประเมิน เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างเป็นระบบด้วย JUZMATCH Asset Score ความเสี่ยงจึงถูกกระจายอย่างมีโครงสร้าง ไม่กระจุกในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และทั้งหมดอยู่ภายใต้การบริหารจัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจตลาดอสังหาฯ จริง
“อสังหาฯ จะเป็น Safe Haven ได้ ถ้ามีความต้องการจริง (Real Demand)
JUZMATCH รู้เฉลยในการลงทุนอสังหาฯ และเป็นการลงทุนใน Real Demand”
— คุณณัฏฐ์ บุญญาภิบาล, COO & Co-Founder JUZMATCH
การลงทุนมีให้เลือกหลากหลาย สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ถ้าจะเลือกการลงทุน ควรเริ่มอย่างไร
คุณฟรัง แชร์มุมมองการลงทุนสำหรับนักลงทุนมือใหม่ ว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลเยอะ การเข้าถึงข้อมูลผ่านโลกอินเตอร์เน็ตง่าย ซึ่งถือว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียคือ การที่ข้อมูลเยอะและเข้าถึงข้อมูลง่ายเกินไป ทำให้เจอกับข่าวบางอย่างที่จริงและบางข่าวไม่จริง เจอข้อมูลที่อาจถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเรียกการมีส่วนร่วม (Engagement) หรืออาจเจอกับข้อมูลที่มีอคติ (Bias) แต่ข้อดีก็คือ เราสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากเราศึกษามันมากพอ เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ ท่าน จะทำให้เราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและดีจริง ๆ
จากประสบการณ์การลงทุนของตัวเองใน 3 ปีที่ผ่านมา สอนให้เรารู้ว่า ไม่จำเป็นต้องลงทุนตามเทรนด์ เราต้องรู้จักตัวเองให้ดีที่สุดว่าเราเป็นใคร เป้าหมายในการลงทุนของเราคืออะไร และรู้จักไลฟ์สไตล์ของเรา เพื่อให้เราสามารถเลือกรูปแบบการลงทุนได้เหมาะสมกับตัวเองได้ที่สุด
"เราต้องศึกษาข้อมูลให้มากพอ เลือกตัดสินใจลงทุนในสิ่งที่เรารู้จริงและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
— หมอฟรัง นรีกุล เกตุประภากร, คุณหมอ นักธุรกิจ และตัวแทนนักลงทุนรุ่นใหม่"
คุณกวี เห็นด้วยว่า หากเรามีความรู้ลึกในเรื่องอะไร เราจะสามารถทำกำไรจากมันได้ ยกตัวอย่าง เคสจริง ของผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกแป้งมันสำปะหลัง ที่ต้องขนส่งแป้งเป็นประจำ มีความใกล้ชิดกับธุรกิจเดินเรือ เขาเลือกลงทุนในหุ้นเกี่ยวกับธุรกิจเดินเรือ และสามารถทำกำไรจากการลงทุนได้ หรือแม้แต่การลงทุนในไวน์ รถโบราณ รูปภาพ ของสะสม ก็สามารถทำกำไรได้ เพราะฉะนั้นเราถนัดอะไร ให้เลือกลงทุนในสิ่งนั้น
นอกจากนี้คุณกวียังเพิ่มมุมมองเกี่ยวกับการเริ่มต้นลงทุนว่า ควรจะเริ่มต้นสัดส่วนส่วนใหญ่เป็นการลงทุนทางหลักก่อน ส่วนการลงทุนทางเลือกในสิ่งที่เราชอบค่อยตามมา
การลงทุนทางเลือกคือการลงทุนที่ไม่สร้างกระแสเงินสดให้กับเราในอนาคต จะได้กำไรต่อเมื่อราคาขึ้นเท่านั้น ส่วนการลงทุนทางหลักคือการลงทุนที่ให้กระแสเงินสดไปเรื่อย ๆ จะได้มากหรือน้อย แล้วแต่ภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหลายๆ คนมักคิดว่าการลงทุนในอสังหาฯ เป็นการเก็งกำไร แต่จริง ๆ แล้ว อสังหาฯ เป็นการลงทุนทางหลัก เพราะเราได้ผลตอบแทนส่วนใหญ่จากค่าเช่า ที่ให้กระแสเงินสดเราไปเรื่อย ๆ
“หลักการลงทุน คือรู้ลึกในสิ่งที่จะลงทุน และเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ทางหลักก่อน ในสัดส่วนที่ใหญ่กว่า”
— คุณกวี ชูกิจเกษม, Chief portfolio advisory Pi securities PCL
มุมมองต่อโมเดลธุรกิจเช่าเพื่อซื้อของ JUZMATCH เป็นอย่างไร
คุณฟรัง แม้จะไม่เคยลงทุนอสังหาฯ มาก่อน แต่ฟังโมเดลแล้วคิดว่า โมเดล JUZMATCH ตอบโจทย์ทั้งคนที่อยากมีบ้านแต่กู้ไม่ผ่าน และนักลงทุนที่ไม่มีเวลาบริหารการลงทุนด้วยตนเอง เพราะตัวเองก็ประกอบอาชีพนักแสดง อินฟลูเอนเซอร์ก็เข้าใจว่าคนร่วมอาชีพที่ก็อาจจะมีปัญหาการกู้ทั้งที่เป็นคนที่มีศักยภาพ และถ้ามองในฐานะนักลงทุนก็ชอบโมเดล เหมือนได้ช่วยคนที่อยากมีบ้าน แล้วเราก็ได้ผลตอบแทนด้วย โดยมี JUZMATCH เป็นคนกลางที่เชี่ยวชาญช่วยบริหารความเสี่ยงให้
คุณกวี มีมุมมองต่อ JUZMATCH ว่าเป็นการลงทุนในอสังหาฯ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ทางหลัก แต่ลูกเล่นเป็นแบบใหม่ โดยส่วนตัวมักไม่ปฏิเสธการลงทุนใหม่ ๆ แต่จะจำกัดการลงทุน เพื่อจำกัดความเสี่ยง
JUZMATCH เป็นธุรกิจที่แก้ painpoint ของทั้งนักลงทุนและผู้เช่า และเป็นอสังหาฯ ที่เป็น Real Demand เราลงทุนได้ แค่จำกัดความเสี่ยง และต้องขอข้อมูลจาก JUZMATCH ไปศึกษา เพราะ JUZMATCH เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยจัดการอสังหาฯ แทนเรา และทำให้ผู้เช่าที่มีศักยภาพมีบ้านอย่างที่ต้องการ
บทสรุปสำหรับนักลงทุน