รายงานความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริง โดย JUZMATCH

เผยแพร่เมื่อ 30 ก.ค. 2568

Event Image
ข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์บ้าน ปี 2567

       ตลาดที่อยู่อาศัยไทยในปี 2567 จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ที่ปรากฏรายงานจำนวนยูนิตที่มีการโอนกรรมสิทธิ์สำเร็จในปีที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 347,799 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมของตลาด ที่ประมาณ 980,648 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม พบว่ามีประชาชนอีกจำนวนมากที่มีความต้องการซื้อบ้านจริงแต่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ โดยจากการประเมินของ JUZMATCH พบว่านอกเหนือจากกลุ่มผู้ซื้อที่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังปรากฏกลุ่มผู้ซื้ออีกจำนวนหนึ่งที่มีความต้องการซื้อบ้านจริง แต่ไม่สามารถเข้าสู่ระบบสินเชื่อหลักได้ โดยที่เหลืออีกประมาณ 65% หรือประมาณ 645,912 ครัวเรือน เป็นกลุ่มผู้ที่มีความต้องการซื้อบ้านแต่ ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารได้
      
       กลุ่มผู้ที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากระบบธนาคาร ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคาร ด้วยเหตุผลหลักที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มหลัก ดังนี้:

       1. กลุ่มผู้มีรายได้ไม่ประจำ
เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ผู้มีอาชีพตามฤดูกาล เช่น เกษตรกร
       2. กลุ่มที่มีรายได้จริงแต่ไม่สามารถแสดงหลักฐานรายได้ที่ชัดเจนได้
เช่น ผู้มีรายได้จากเงินสดเป็นหลัก พ่อค้าแม่ค้าตลาดสด ผู้มีอาชีพ influencer

       3. กลุ่มที่มีประวัติการเงินไม่ดีหรือมีภาระค้ำประกันที่ยังมีหนี้ค้างอยู่
เช่น ผู้เคยมีสถานะผิดนัดชำระ ผู้ค้ำประกันที่ถูกผูกพันกับภาระหนี้ของผู้อื่น

       4. กลุ่มที่มีภาระหนี้รายเดือนเกินเกณฑ์ที่ธนาคารยอมรับ
เช่น มีหนี้หลายบัญชี หรือผ่อนรายเดือนเกินความสามารถในการชำระ

       5. กลุ่มผู้สูงอายุหรือใกล้เกษียณที่ถูกมองว่ามีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง
เช่น อายุเกินเกณฑ์ในการผ่อนระยะยาว หรือรายได้หลังเกษียณไม่แน่นอน

คนมีศักยภาพที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อจากระบบธนาคาร

       ในจำนวนผู้ที่มีความต้องการซื้อแต่ถูกธนาคารปฏิเสธ และถูกประเมินแบบเหมารวมว่าเป็นคนไม่มีศักยภาพ (In-Potential Buyer) ในความเป็นจริงแล้ว JUZMATCH พบว่าในกลุ่มนี้ยังมีกลุ่มคนที่เป็นกลุ่มศักยภาพ (Potential Buyer) อยู่ด้วย ซึ่งก็คือกลุ่ม 1 กลุ่มผู้มีรายได้ไม่ประจำ และกลุ่ม 2 กลุ่มที่มีรายได้จริงแต่ไม่สามารถแสดงหลักฐานรายได้ที่ชัดเจนได้ ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งผู้ที่ต้องการซื้อ 2 กลุ่มนี้มีความสามารถในการผ่อนชำระ และมีเจตจำนงในการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real demand)
       
       อ้างอิงจากข้อมูลจริงของ JUZMATCH ที่ได้รับลูกค้าส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ ส่งต่อลูกค้าผู้ที่มีความต้องการซื้อมาให้ (Developer Referral) จากการศึกษาพบว่า จากผู้ที่ต้องการซื้อบ้านแต่ติดปัญหาด้านสินเชื่อทั้งหมด 100% จะมีผู้ที่ JUZMATCH ประเมินว่ามีศักยภาพ (JUZMATCH Potential Buyer) สามารถรับเข้ามาเป็นลูกค้าเช่าเพื่อซื้อกับ JUZMATCH ได้อยู่ที่ 16% ซึ่งหากนำสัดส่วนนี้มาอ้างอิงกับตลาดรวมของกลุ่มที่ถูกปฏิเสธ 645,912 ครอบครัว จะเท่ากับปีที่ผ่านมามี 16% x 645,912 = 103,346 ครอบครัว ที่มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของบ้าน แต่ไม่สามารถเข้าถึงการเงินหรือแหล่งเงินในระบบได้

       สิ่งที่ JUZMATCH ทำคือ การมุ่งเน้นพาผู้มีศักยภาพและมีความต้องการซื้อจริงเหล่านี้ (Real demand) เข้าสู่ระบบ เพื่อให้เข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยได้อย่างเท่าเทียมผ่านโมเดลเช่าเพื่อซื้อ (Rent-to-Own) ซึ่งเฉพาะในปี 2567 ที่ผ่านมา JUZMATCH สามารถช่วยให้ผู้ที่มีความต้องการซื้อ เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ได้สำเร็จเพิ่มขึ้นจำนวน 765 ยูนิต
      
       เมื่อประเมินจากข้อมูลตลาด เจาะมาเฉพาะกลุ่มที่ JUZMATCH ประเมินว่ามีศักยภาพ (JUZMATCH Potential Buyer) ทั้งหมด และอยู่ภายใต้บริบทหรือเงื่อนไขของการเช่าเพื่อซื้อได้มีจำนวนประมาณ 103,346 ครอบครัว และจากการที่ JUZMATCH ส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยได้เพิ่มขึ้นจำนวน 765 ครอบครัว คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก คือเป็นเพียงแค่ 0.7% ของกลุ่มลูกค้าศักยภาพที่ JUZMATCH มีโอกาสเข้าถึง ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงขนาดตลาดที่ใหญ่มากแต่ยังได้รับการตอบสนองไม่เต็มที่
      
       หาก JUZMATCH สามารถขยายการเข้าถึงได้เพียง 10% ของกลุ่มนี้ เท่ากับจะสามารถช่วยให้ 10,335 ครอบครัว เป็นเจ้าของบ้านได้ และจะทำให้บริษัทเติบโตขึ้นอีก 13.5 เท่าจากฐานปัจจุบัน ซึ่งอัตราการเติบโตแบบนี้ ถือเป็นอัตราการเติบโตระดับที่หาได้ยากในธุรกิจทั่วไป

       มากไปกว่านั้นหากกรณีที่ JUZMATCH สามารถเข้าถึงกลุ่ม JUZMATCH Potential Buyer ได้ที่ 50% นั่นมีความหมายว่า JUZMATCH สามารถรองรับความต้องการที่แท้จริงและช่วยผู้คนได้อีกถึง 51,673 ครอบครัว ซึ่งคิดเป็นการเติบโตขึ้นประมาณ 67.6 เท่าจากจำนวนในปี 2567 ซึ่งโอกาสในการขยายตัวในระดับนี้ นับเป็นโอกาสในการเติบโตมหาศาลและแสดงให้เห็นชัดเจนว่าตลาดเช่าเพื่อซื้อที่ JUZMATCH เป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำมาตลอด 5 ปี ยังคงมีลักษณะเป็น Blue Ocean ยังไม่มีผู้ให้บริการรายใดครอบคลุมได้อย่างทั่วถึง มีโอกาสในการเติบโตอีกมาก และ JUZMATCH พิสูจน์แล้วว่าโมเดลเช่าเพื่อซื้อ Rent-to-Own ที่ JUZMATCH ดำเนินการอยู่มีความชัดเจนในด้าน Product-Market Fit และนับเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ Real Demand อย่างแท้จริง  และมีความพร้อมในการขยายตัวได้อีกมาก

JUZMATCH กับบทบาทผู้นำที่กำหนดมาตรฐานให้กับตลาดเช่าเพื่อซื้อ

       จากตัวเลขการเติบโตของ JUZMATCH ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เป็นที่ชัดเจนว่าตลาดเช่าเพื่อซื้อ (Rent-to-Own) ภายใต้โมเดลลิขสิทธิ์เฉพาะของ JUZMATCH มีศักยภาพสูงในการช่วยทรานส์ฟอร์มพื้นฐานชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น ผ่านการเข้าถึงการอยู่อาศัยหรือมีบ้านที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิต แต่ JUZMATCH ตระหนักถึงการแข่งขันที่อาจเพิ่มขึ้นจากโมเดลธุรกิจลักษณะคล้ายคลึงกันที่เริ่มเกิดขึ้นตามมาในตลาด ดังนั้นเพื่อดำเนินกลยุทธ์อย่างรอบคอบ และรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับผู้คนในสังคม บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาตลาด โดยเฉพาะการวิจัยการรับรู้และความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อเข้าใจและนำไปสู่การออกแบบโซลูชันที่ตอบโจทย์และช่วยยกระดับพื้นฐานชีวิตผู้คนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ความเข้าใจในตลาดเป้าหมายหรือในกลุ่มผู้บริโภคถือเป็นปัจจัยสำคัญในบทบาทที่ JUZMATCH เป็นผู้นำที่เป็นผู้กำหนดมาตรฐานให้กับตลาดเช่าเพื่อซื้อในประเทศไทยอีกด้วย

       จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการจัดทำ Real Housing Demand Report Thailand 2568โดย JUZMATCH เพื่อทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงของกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งรายงานนี้จัดทำขึ้นภายใต้กระบวนการสำรวจในช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม – 5 กรกฎาคม 2568 โดยใช้ทั้งวิธีการเก็บข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ และการลงภาคสนามในพื้นที่ตลาดนัดและศูนย์การค้าต่าง ๆ ได้แก่ ตลาดนัดจตุจักร, ยูเนี่ยนมอลล์, ตลาดปิ่นเกล้า เป็นต้น ซึ่งมีจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 635 คน ซึ่งสามารถจำแนกกลุ่มตัวอย่างตามอาชีพ ช่วงอายุ และรายได้ ดังนี้
A screenshot of a computerAI-generated content may be incorrect.
       จากการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างจำนวน 635 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มนอกระบบแรงงานประจำอย่างชัดเจน  โดยเป็นกลุ่ม ฟรีแลนซ์ / อาชีพอิสระ / รับจ้างทั่วไป คิดเป็น 59% หรือมากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ซึ่งสะท้อนภาพจริงของโครงสร้างแรงงานไทย ในเมืองและชานเมือง ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงจากงานแบบเดิม (งานประจำ) ไปสู่เศรษฐกิจแบบใหม่ นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ คือ Gen Y ที่มีรายได้อยู่ในช่วงระดับกลางถึงต่ำ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นกลุ่มของผู้ที่ต้องการมีบ้าน (Real Demand) แต่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ และเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ต้องการโซลูชันอสังหาฯ นวัตกรรมใหม่แบบโมเดลเช่าเพื่อซื้อ

ตลาดอสังหาฯ ยังมีความต้องการ โดย 1 ใน 3 ยังมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัย 

       จากการสำรวจความตั้งใจในการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มตัวอย่าง แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่สภาพเศรษฐกิจโลกและในประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมาย 635 คน พบว่า  38% หรือ มากถึง 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามยังคงมีแผนจะซื้อบ้าน  ขณะที่ 28% ตอบว่า ยังไม่แน่ใจ ซึ่งกลุ่มนี้อาจมองได้ว่าเป็นกลุ่มที่สามารถถูกกระตุ้นให้เข้าสู่ตลาดได้ หากมีนวัตกรรมหรือแรงจูงใจมากระตุ้น และอีก 34% ไม่มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยในขณะนี้  ซึ่งอาจยังอยู่ในสถานะเปลี่ยนผ่าน เช่น เป็นพนักงานใหม่รายได้ยังน้อย คนย้ายถิ่นใหม่ หรือคนที่รอความพร้อมทางการเงิน เป็นต้น ยังเป็นกลุ่มที่สามารถติดตามต่อได้ในอนาคต
A screenshot of a computerAI-generated content may be incorrect.
กลุ่มรายได้กลางถึงสูงมีแนวโน้มตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

       จากการสำรวจ พบว่ารายได้มีความสัมพันธ์กับแผนการซื้อบ้านอย่างมีนัยสำคัญโดย ผู้ที่มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มรายได้ 30,001–50,000 บาท/เดือน สูงถึง 32% รองลงมาคือ รายได้ อยู่ที่ 50,001–100,000 บาท/เดือน 19% ซึ่งหากรวมสัดส่วนของผู้ที่มีแผนซื้อบ้าน กลุ่มรายได้ 30,001-100,000 บาท/เดือน คิดเป็น 51% แสดงว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้ที่มีแผนซื้อบ้าน คือผู้ที่มีรายได้อยู่ในระดับกลาง–ค่อนข้างสูง
       
       ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่ ไม่มีแผนจะซื้อ หรือ ยังไม่แน่ใจ มีสัดส่วนใหญ่อยู่ในรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท (70% และ 62% ตามลำดับ) จากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ประกอบการสุ่มสัมภาษณ์ พบว่าการที่กลุ่มรายได้ต่ำจำนวนมากไม่มีแผนซื้อบ้าน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย แต่เป็นเพราะหลายคนไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถซื้อบ้านได้จริง เนื่องจากขาดความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง, เคยถูกปฏิเสธสินเชื่อในอดีต, หรือไม่รู้เลยว่ามีทางเลือกอื่นนอกจากการกู้ธนาคาร เป็นต้น

เหตุผลหลักในการซื้อบ้านคือเพื่อเป็นทรัพย์สินและสร้างความมั่นคง

       ผลสำรวจสะท้อนว่า ผู้มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยมีเหตุผลหลากหลายในการตัดสินใจซื้อ โดยแบ่งได้เป็น 6 ประเด็นหลักที่มีน้ำหนักแตกต่างกัน โดยเหตุผลอันดับ 1  คือ การซื้อบ้านเพราะต้องการมีทรัพย์สินเก็บไว้และเพื่อส่งต่อเป็นมรดก เหตุผลอันดับที่ 2 คือต้องการความมั่นคงจากการมีบ้านเป็นของตัวเอง นอกจากนี้เหตุผลอันดับที่ 3 คือการซื้อเพื่อการลงทุน  ทั้งนี้ หากตัดเหตุผลเรื่องการซื้อเพื่อลงทุน เช่น ปล่อยเช่า ออกไป จะพบว่า  77% ของผู้มีแผนซื้อบ้าน ซื้อเพราะต้องการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) นอกจากนี้ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจว่ากลุ่มที่เช่าที่อยู่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน เริ่มรู้สึกว่าเงินค่าเช่าที่จ่ายไปไม่สามารถเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินได้จึงไม่อยากจ่ายค่าเช่าทิ้งเปล่าโดยที่ไม่ได้สิทธิครอบครอง
A graph with blue and white textAI-generated content may be incorrect.
เช่าเพื่อซื้อ กำลังกลายเป็น ‘ทางเลือกหลัก’
      
       สิ่งที่น่าสังเกตอย่างยิ่งจากผลสำรวจคือ เมื่อถามผู้ที่มีแผนจะซื้อบ้านว่า หากจะซื้อจริง พวกเขาจะเลือกวิธีใด ผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือวิธีที่ผู้ตอบแบบสอบถามจะใช้หากต้องการซื้อบ้าน นอกเหนือจากวิธีการขอสินเชื่อจากธนาคารแล้ว การเช่าเพื่อซื้อ กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอันดับ 1 แซงหน้าการซื้อด้วยเงินสดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถือเป็นสัญญาณของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง (โดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ทันที) ผู้คนเหล่านี้เริ่มเปิดรับโมเดลใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงได้ดีกว่ารูปแบบเดิม ไม่ต้องรอเงินก้อน ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าทิ้ง และไม่ต้องพึ่งพาการกู้ร่วมหรือการยืมจากคนรอบข้าง เช่าเพื่อซื้อจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นโมเดลที่ช่วย “ปลดล็อกความต้องการมีบ้าน” ได้ในเวลาที่เหมาะสม และเป็นไปได้จริง
A graph on a black backgroundAI-generated content may be incorrect.การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินยังเป็น Pain Point

       แม้การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินจะยังเป็นวิธีหลักในการซื้อบ้าน แต่ก็ยังเป็น Pain Point สำคัญสำหรับผู้มีความต้องการซื้อจริงจำนวนมาก ผลสำรวจพบว่า มากถึง 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีความต้องการซื้อบ้าน ยังคงรู้สึกกังวลหากต้องขอสินเชื่อกับธนาคาร โดยกว่า 60% ชี้ชัดว่าต้นตอของความกังวลมาจากข้อจำกัดของระบบธนาคารเอง โดยปัจจัยหลักที่ทำให้รู้สึกว่ากังวล เป็นเรื่องที่ธนาคารไม่ให้เครดิตหรือให้เครดิตไม่พอ (45%) กังวลเรื่องขั้นตอนการขอสินเชื่อที่ยุ่งยาก ไม่เข้าใจ (33%) และกังวลเรื่องที่ธนาคารปล่อยกู้ยาก ถ้าไม่มีเอกสารทางรายได้ (22%) นี่คือช่องว่างที่โมเดลเช่าเพื่อซื้ออย่าง JUZMATCH เข้ามาตอบโจทย์ผู้มีความต้องการซื้อกลุ่มนี้ได้โดยตรง
JUZMATCH Investor Club 2025_Figure.005.png
โมเดลเช่าเพื่อซื้อ ยังต้องการการให้ความรู้
      
       การรับรู้ต่อโมเดลเช่าเพื่อซื้อยังไม่สูง จากผลสำรวจพบว่า ผู้มีแผนจะซื้อบ้านกว่า 52% ยังไม่รู้จักโมเดลเช่าเพื่อซื้อเลย ขณะที่อีก 38% เคยได้ยินแต่ยังไม่เข้าใจชัดเจน มีเพียง 10% เท่านั้นที่รู้จักและเข้าใจอย่างดี แสดงให้เห็นว่า โมเดลเช่าเพื่อซื้อ ยังต้องการการสร้างการรับรู้ใหม่ และให้ความรู้ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง
A screenshot of a graphAI-generated content may be incorrect.
       สิ่งที่น่าสนใจ จากข้อมูลที่ถามว่าหากเช่าเพื่อซื้อทำให้เป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าการกู้ธนาคาร สนใจหรือไม่ ผู้ตอบแบบสอบถาม 78% ตอบว่ามีความสนใจหากเช่าเพื่อซื้อสามารถทำให้ได้บ้านง่ายกว่าและเร็วกว่าการกู้ธนาคาร  ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคเปิดใจต่อทางเลือกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความเป็นไปได้ในการเข้าถึงที่อยู่อาศัย และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ 64% ในกลุ่มที่สนใจซื้อบ้าน ตอบว่ายินดีที่จะจ่ายแพงขึ้นเล็กน้อย หากนำไปสู่การเป็นเจ้าของบ้านได้จริง สิ่งนี้สะท้อนว่า กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามที่ส่วนใหญ่เป็น กลุ่มรายได้กลาง–ล่าง ที่มีความต้องการจริงกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการราคาถูกที่สุด แต่ต้องการทางเลือกที่ให้โอกาสในการ “เข้าถึงการเป็นเจ้าของบ้านได้” และ “มั่นใจได้ว่าจะเป็นเจ้าของได้จริง”

สรุปผลการศึกษา Real Housing Demand Report Thailand 2025

1. ตลาด Real Demand ยังมีอยู่จริง และใหญ่มาก
       ▫︎ กลุ่มที่มีรายได้ 30,000–100,000 บาท/เดือน คือ Real Demand ที่มีศักยภาพ พร้อมตัดสินใจซื้อทันที
       ▫︎ กลุ่มรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท/เดือน ยังรอทางเลือกที่ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่ามีสิทธิเป็นเจ้าของบ้านได้จริง


2. ปัจจัยแห่งความต้องการซื้อบ้านวันนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องการมีที่อยู่ แต่คือการมีทรัพย์สิน มีความมั่นคงในชีวิต อย่างไรก็ตาม ระบบสินเชื่อแบบเดิมยังไม่สามารถรองรับและตอบโจทย์ผู้ที่มีความต้องการจริง (Real Demand) ได้ทั้งหมด ส่งผลให้โมเดลเช่าเพื่อซื้อ (Rent-to-Own) กลายเป็นทางเลือกอันดับ 1 รองจากธนาคาร ที่ผู้บริโภคเปิดรับมากกว่าการซื้อด้วยเงินสด

3. แม้หลายคนจะยังไม่รู้จัก โมเดลเช่าเพื่อซื้อ (Rent-to-Own)  แต่เมื่อได้รับข้อมูลความสนใจก็พุ่งขึ้นสูง และผู้ที่มีความต้องการจริงมากกว่าครึ่งยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้ได้สิทธิการเป็นเจ้าของจริง ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ตลาดนี้ยังเป็นตลาดที่ต้องให้ความรู้ และจะสามารถเป็น “ทางเลือกหลัก” ที่ปลดล็อกโอกาสการมีบ้านของคนไทยในยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง

ผลการสำรวจลูกค้าเช่าเพื่อซื้อจริงของ JUZMATCH

       จากรายงาน Real Housing Demand Report Thailand 2025 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่าง "Real Demand" กับระบบการเงินแบบดั้งเดิม และโอกาสของโมเดลเช่าเพื่อซื้อ (Rent-to-Own) เพื่อต่อยอดความเข้าใจจากผลการศึกษาดังกล่าว JUZMATCH ได้ดำเนินการสำรวจกลุ่มลูกค้าเช่าเพื่อซื้อจริง ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2025 โดยมีผู้ร่วมตอบจำนวน 88 คน จากการศึกษาพบข้อมูลที่สำคัญ ใน 5 มิติ ดังนี้
A blue circle with white textAI-generated content may be incorrect.
A screenshot of a graphAI-generated content may be incorrect.

1. การตัดสินใจ: เหตุผลอันดับหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าเช่าเพื่อซื้อ (Buyer) เกือบครึ่งหนึ่งเลือก JUZMATCH เพราะเป็นทางเลือกที่ทำให้ไม่ต้องรอกู้ธนาคาร (49%) ซึ่งถือเป็น Pain Point สำคัญของคนจำนวนมากในสังคมไทยปัจจุบันนี้ เหตุผลรองลงมา เป็นเพราะ JUZMATCH มีขั้นตอนง่าย ไม่ยุ่งยาก นอกจากนี้การย้ายเข้าอยู่ได้ทันที ถึงแม้เป็นปัจจัยรอง แต่ก็มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้าบางกลุ่มเช่นกัน


2. ความพึงพอใจและการบอกต่อ:  จากผลสำรวจ พบว่า 87% ของลูกค้าเช่าเพื่อซื้อของ JUZMATCH รู้สึกพึงพอใจถึงพึงพอใจมากต่อ JUZMATCH และ 67% ของลูกค้าบอกว่าต้องการแนะนำ JUZMATCH ให้กับคนที่กู้บ้านไม่ผ่าน เพื่อให้สามารถมีบ้านได้เช่นเดียวกัน


3. แผนระยะเวลาผ่อนบ้านที่คาดหวัง: ลูกค้าเช่าเพื่อซื้อของ JUZMATCH  มีความมุ่งมั่นเป็นเจ้าของบ้านภายในระยะเวลาอันสั้น โดย 74% ของลูกค้าวางแผนผ่อนบ้านให้หมดภายใน 10 ปี ซึ่งต่างจากระบบธนาคารที่โดยทั่วไปใช้ระยะเวลาผ่อน 20–30 ปี  การที่ลูกค้าเช่าเพื่อซื้อของ JUZMATCH  ระบุระยะเวลาผ่อนบ้านที่คาดหวัง ไว้สั้นกว่านั้น สะท้อนว่าพวกเขามีความเข้าใจโมเดลอย่างแท้จริงและสะท้อนให้เห็นศักยภาพของลูกค้าอีกด้วย


4. แผนหลังหมดสัญญา: เมื่อหมดสัญญาลูกค้าเช่าเพื่อซื้อของ JUZMATCH จำนวน 36% มีแผนต่อสัญญา นี่เป็นข้อมูลที่บ่งบอกความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัทระดับสูง และ 27% มีแผนย้ายไปกู้ต่อกับธนาคาร สะท้อนว่า JUZMATCH ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมที่ช่วยให้ลูกค้าค่อย ๆ เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ระบบสินเชื่อปกติได้ นอกจากนี้ยังมีลูกค้าอีก 20% ตั้งใจโปะปิดบ้านให้หมดในทันที หรือคือการปิดบ้านภายในระยะเวลา 3 ปีเท่านั้น ตอกย้ำถึงศักยภาพของลูกค้า JUZMATCH ว่ามีศักยภาพสูง


5. ทัศนคติต่อนักลงทุน: 66% ของลูกค้าเช่าเพื่อซื้อของ JUZMATCH มองว่านักลงทุนไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้เงินทุน แต่คิดว่านักลงทุนมีบทบาทในการยกระดับชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น แสดงว่าลูกค้าผู้เช่าเพื่อซื้อเข้าใจโมเดล และมองเห็นคุณค่าที่นักลงทุนมีส่วนช่วยให้เขาเป็นเจ้าของบ้าน และมีชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ 72% แสดงความสนใจอยากเป็นนักลงทุนกับ JUZMATCH หากมีโอกาส

สรุปผลการศึกษา ลูกค้าเช่าเพื่อซื้อจริงของ JUZMATCH

         จากการศึกษากลุ่มลูกค้าเช่าเพื่อซื้อจริงของ JUZMATCH ชี้ชัดว่าโมเดลของ JUZMATCH ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ระบบธนาคารไม่สามารถตอบสนองได้อย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องของเกณฑ์การกู้และความยุ่งยากของระบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นอุปสรรคหลักที่ทำให้ Real Demand ไม่สามารถแปลงเป็นการซื้อจริง และจากพฤติกรรมวางแผนผ่อนชำระภายในระยะเวลาอันสั้น แสดงให้เห็นว่าลูกค้าเช่าเพื่อซื้อของ JUZMATCH ไม่ใช่กลุ่มที่มีศักยภาพต่ำ แต่เป็นกลุ่มที่ต้องการเส้นทางใหม่ในการเป็นเจ้าของบ้านโดยเร็วและมั่นคง และที่สำคัญคือลูกค้ากลุ่มนี้มองหาโอกาสกลับมาเป็นนักลงทุนเองใน JUZMATCH ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นการสร้าง ecosystem ที่สามารถขยายตัวได้ในระยะยาวและเป็นการสร้างสังคมที่ช่วยสนับสนุนกันอย่างยั่งยืน


 

ป้ายกำกับ:

แชร์:

บทความอื่นๆ

image
บทความ
คนเลี้ยงสัตว์ต้องรู้ เปิดกฎหมายใหม่การเลี้ยงสัตว์ในกรุงเทพฯ ก่อนโดนปรับสูงสุด 25,000.-

คนเลี้ยงสัตว์ต้องรู้ เปิดกฎหมายใหม่การเลี้ยงสัตว์ในกรุงเทพฯ เตรียมบังคับใช้ ข้อบัญญัติควบคุมการเลี้ย...

16 ก.ย. 2568
image
การลงทุน
สรุปเทรนด์การลงทุนที่ฉลาดและปลอดภัย จากงาน JUZMATCH Investor Club 2025

         ในภาวะที่เศรษฐกิจผันผวน ตลาดเงินและตลาดทุนไร้ทิศทาง นักลงทุนจำนวนมากกำลังมองหาทางเลือกใหม่...

20 ส.ค. 2568
image
การลงทุน
ทางเลือกการลงทุน (Alternative Investment) หากคิดจะลงทุนอสังหาฯ ทำไมต้องลงทุนกับ JUZMATCH

         ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องอธิบายยาว ว่าทำไมต้องลงทุนด้วย แต่ในปัจจุบันไม่ต้องพูดเยอะ โดยเฉพาะช...

6 พ.ค. 2568