เช่าเพื่อซื้อ (Rent-to-Own): ทางเลือกใหม่สู่การเป็นเจ้าของบ้าน

เผยแพร่เมื่อ 13 ก.พ. 2568

Event Image

          การจะได้เป็นเจ้าของบ้านสักหลัง คงมีน้อยคนมากที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินสด ส่วนใหญ่แล้วก็ต้องขอสินเชื่อ หรือขอกู้จากธนาคารทั้งนั้นแหละ แต่จะทำอย่างไรล่ะ เมื่อวันนี้เรากำลังเจอกับสถานการณ์ที่ว่า “มา 2 ให้ 1” คือ คนมาขอกู้ 2 คน ธนาคารจะปล่อยกู้ให้ได้แค่คนเดียว และอีกคนโดนปฏิเสธ ไม่สามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ แล้วการโดนปฏิเสธจากธนาคารนี้เอง ทำให้ผู้ขอกู้หลาย ๆ ถูกมองว่าเป็นคน “ที่ไม่มีศักยภาพ” 
 

          ในสังคมไทยของเรามีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดเหมารวมแบบนั้น ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การกู้ธนาคารผ่านหรือไม่ผ่านเป็นเพียง “การกำหนดเกณฑ์การประเมินของธนาคาร” เท่านั้น หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น ก็เหมือนการหารถที่ถูกใจสักคันนั่นแหละ สมมุติว่านายแบงค์ ได้กำหนดสเปกรถที่ต้องการไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นรถ SUV  สำหรับครอบครัว แล้วถ้าวันดีคืนดี มีเซลส์ขายรถยนต์มาเสนอรถเก๋งหรือรถซีดานรุ่นใหม่ล่าสุด นายแบงค์ก็คงจะปฏิเสธแน่นอน ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่ารถเก๋งไม่ดี แต่แค่ไม่ใช่รถที่ตรงสเปกของนายแบงค์ก็เท่านั้น และในความเป็นจริงก็ยังมีคนอีกมากมายที่ชอบรถเก๋ง หรือเรียกได้ว่ามีตลาดเป็นของตัวเองเช่นกัน
 

          แล้วถ้าถามถึงสเปกหรือเกณฑ์การประเมินของธนาคารเป็นอย่างไรล่ะ คำตอบคือ ธนาคารส่วนใหญ่จะใช้หลัก 5 ข้อ หรือ 5Cs (อ้างอิงข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย) ได้แก่ 
 

          •  Character คุณลักษณะและความน่าเชื่อถือของผู้ขอกู้ เช่น อายุ อาชีพ วินัยทางการเงิน  

          •  Capacity ความสามารถในการจ่ายคืนได้ตามเวลาที่กำหนด รวมถึงความมั่นคงของรายได้

          •  Capital เงินทุน สินทรัพย์ หรือเงินฝาก เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขอกู้มีแหล่งเงินสำรองในกรณีที่เกิดปัญหา

          •  Collateral ผู้ค้ำประกันหรือหลักประกันที่นำมาจำนำ หรือจำนอง

          •  Conditions ปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อรายได้ของผู้ขอกู้ เช่น เศรษฐกิจนโยบายทางการเงิน ของประเทศ
 

          สรุปง่าย ๆ คือ ที่ธนาคารต้องตั้งเกณฑ์เช็กโน่นนี่ค่อนข้างละเอียด และขอเอกสารเยอะหน่อย ก็เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขอกู้จะสามารถผ่อนชำระหนี้คืนได้อย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ชี้ชัดเจนว่า ถึงแม้ว่ายอดปล่อยกู้สินเชื่อบ้านของธนาคารลดลงแทบทุกราคา และติดลบต่อเนื่อง 4 ไตรมาส แต่ ทุกธนาคารก็ยังพร้อมใจกันปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 50-70% ใครไม่ตรงกับสิ่งที่กำหนดไว้ เขาก็ไม่ปล่อยกู้ให้ ทำให้ต้องหาแหล่งเงินทุนทางอื่น เช่น การเก็บเงินสดก้อนโต หรือบางคนจำยอมพึ่งการกู้นอกระบบ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงในราคาสูงลิ่ว และเสี่ยงกว่ามาก เพราะพวกเขามีความจำเป็นส่วนตัว อยากได้บ้านจริง ๆ และมีคนอีกมากมายเลยที่แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องเช่าต่อไปเรื่อย ๆ หรือแย่ที่สุดก็ต้องอยู่แบบ “ไร้บ้าน” 


          ปัญหาการกู้ซื้อบ้านกับธนาคารไม่ได้นี้ ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาที่ทุกประเทศทั่วโลก ก็เจอมานานแล้ว จึงนำมาสู่การเกิดขึ้นของโมเดลธุรกิจทางเลือกใหม่ นั่นคือ โมเดล “เช่าเพื่อซื้อ” (Rent-to-Own Model)

“เช่าเพื่อซื้อ” โมเดลทางเลือกสู่การเป็นเจ้าของบ้าน

          เช่าเพื่อซื้อ (Rent-to-Own Model) คือ รูปแบบการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผสมผสานระหว่างการเช่าและการซื้อ โดยผู้ซื้อจะเช่าก่อนเป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นจึงมีสิทธิ์ซื้อ ในราคาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ซึ่งโมเดลเช่าเพื่อซื้อมีจุดเด่นมาก ๆ  ที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนตัดสินใจได้ทันที คือการช่วยให้เป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ล็อกราคาบ้านไว้ล่วงหน้า ย้ายเข้าอยู่ได้เลย และการเช่าก่อนตัดสินใจซื้อนั้น ยังทำให้ผู้เช่าเพื่อซื้อได้ทดลองอยู่จนมั่นใจว่าบ้านหลังนั้น ตรงกับความต้องการและความพึงพอใจของตนเองจริง ๆ โดยในระหว่างการเช่า ผู้เช่าเพื่อซื้อก็สามารถสร้างเครดิต และเพิ่มความน่าเชื่อถือทางการเงินไปด้วย เมื่อพร้อม ก็สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านจากธนาคารได้ทันที 
 

          การทำงานของโมเดลเช่าเพื่อซื้อ ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ สัญญาเช่ามาตรฐาน และสิทธิ์ในการซื้อ อสังหาฯ ผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของบ้านหรืออาจเรียกว่าผู้เช่าเพื่อซื้อ จะต้องลงนามในสัญญากับผู้ขาย เพื่อรับและให้สิทธิ์ในการซื้อบ้านเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการเช่า ซึ่งระยะเวลามักอยู่ในช่วง 2-5 ปี แล้วแต่ตกลง
 

          ผู้เช่าเพื่อซื้อต้องวางเงินมัดจำหรือเงินดาวน์ก่อน และในช่วงระยะเวลาการเช่า ผู้เช่าเพื่อซื้อจะต้องจ่ายค่าเช่าซึ่งสูงกว่าค่าเช่าเฉลี่ยในตลาด เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมสำหรับ "สิทธิ์ในการซื้อ" ซึ่งมักจะถูกนำไปหักลดจากราคาซื้อขายสุดท้ายของบ้านเมื่อถึงเวลาซื้อจริง และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่น เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัย (เหมือนเป็นผู้ซื้อปกติ)

เช่าเพื่อซื้อ เกิดขึ้นมา และถูกพัฒนามาจนถึงปัจจุบันได้อย่างไร 

กว่าจะมาเป็นโมเดลเช่าเพื่อซื้อที่มีประสิทธิภาพแบบในปัจจุบัน มีจุดเริ่มต้นมาจาก 2 ช่วงหลัก ได้แก่ 

          เช่าเพื่อซื้อยุคแรก (1950s-1960s):
 

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สงบลง ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการกลับมาของทหารผ่านศึกและความเสียหายมากมายที่เกิดขึ้นกับที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังไม่สามารถเร่งสร้างใหม่ได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจ ราคาของที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นถึง 40% ธนาคารเข้มงวดมากขึ้น ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ภาครัฐจะมีสิทธิประโยชน์ พิเศษให้กับทหารผ่านศึก แต่ก็มีทหารผ่านศึกชาวผิวสีที่ถูกปฏิเสธการรับสิทธิประโยชน์นั้นกว่าล้านคน ด้วยเจตนาที่ต้องการทิ้งคนกลุ่มเหล่านี้และครอบครัวไว้ข้างหลัง จากเหตุผลทั้งหมดนี้จึงทำให้โมเดล เช่าเพื่อซื้อ 1.0 ได้เกิดขึ้น เพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งมีลักษณะ คือ

          •  กำหนดระยะเวลาสัญญาชัดเจน: ผู้เช่าสามารถเช่าบ้าน อาศัยในบ้าน และเลือกซื้อบ้านได้ ในระยะเวลาที่กำหนด โดยค่าเช่าบางส่วนจะถูกจัดสรรเป็นเงินดาวน์ในอนาคต 

          •  สัญญาเช่าพร้อมตัวเลือกการซื้อ: ผู้เช่าทำสัญญาเช่าระยะยาวกับเจ้าของบ้าน โดยมีตัวเลือก ในการซื้อบ้านในอนาคตต 

          •  ค่าธรรมเนียมล่วงหน้า: ผู้เช่ามักต้องจ่ายค่าธรรมเนียมล่วงหน้า (Option fee) เพื่อรับสิทธิ์ในการซื้อบ้าน ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้มักไม่สามารถขอคืนได้ 

          •  ความเสี่ยงสูงสำหรับผู้เช่า: หากผู้เช่าผิดนัดชำระเงิน หรือไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาได้ (พลาดการชำระเงินแม้เพียงครั้งเดียว) พวกเขาอาจสูญเสียสิทธิ์ในการซื้อบ้าน รวมถึงเงินที่จ่ายไปหลายเดือน และเสี่ยงต่อการถูกไล่ออก 

          เช่าเพื่อซื้อยุคที่ 2 (หลัง Financial Crisis 2008) 
 

เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงต้นปี ค.ศ.2000 ราคาที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกากลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง ด้วยเหตุของการลงทุนเพื่อเก็งกำไร  (Subprime Mortgages) และการปล่อยสินเชื่อที่หละหลวม ซึ่งทำให้สินเชื่อถูกอนุมัติให้กับผู้ที่มีเครดิตต่ำเป็นจำนวนมาก  ก่อให้เกิดหนี้เสียในปริมาณที่เยอะ และมีการยึดบ้านกลับเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมากในที่สุด ในไม่ช้าราคาบ้านที่เคยพุ่งสูงขึ้นก็ตกกลับลงมาถึง 30% และไม่ใช่เพียงแค่ราคาบ้าน ตลาดหุ้นเองก็ตกลงมาถึง 50% ด้วย เมื่อมูลค่าสินทรัพย์ลดลงเช่นนั้น แน่นอนว่าความมั่งคั่งของประชาชนก็ลดลงเช่นกัน  มีธุรกิจล้มละลาย มีคนตกงานจำนวนมาก การใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต้องรัดกุมมากยิ่งขึ้นจนเกิดการหดตัวของเศรษฐกิจ หลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์ความรุนแรง ของเศรษฐกิจก็ล้มลงไปยังโดมิโนชิ้นต่อไป นั่นคือ สถาบันการเงินเกิดการขาดทุน แม้แต่สถาบันการเงิน รายใหญ่ก็ล้มละลาย สถาบันการเงินที่ยังอยู่รอดตัดสินใจหยุดปล่อยสินเชื่อให้กันเอง รวมถึงระงับการปล่อย สินเชื่อให้กับประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดทุนลง
 

          หลังจากวิกฤตการเงินปี ค.ศ.2008 สถาบันการเงินได้เพิ่มเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ ทำให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำหรือ ประวัติเครดิตไม่ดี ประสบปัญหาในการกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน ทำให้ระบบเช่าซื้อกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง โดยเฉพาะในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า "เช่าเพื่อซื้อยุคที่ 2”   
 

          จากเช่าเพื่อซื้อยุคแรก ที่สัญญามักไม่ชัดเจนและอาจมีเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เช่า ผู้เช่าอาจเผชิญ กับความเสี่ยงสูงและขาดความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ เช่าเพื่อซื้อยุคที่ 2 จึงถูกพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาเดิม และมีลักษณะดังนี้
 

          •  ความยืดหยุ่น: มีระยะเวลาที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับเงื่อนไขได้ตามความพร้อมทางการเงินของผู้เช่า และอนุญาตให้ผู้เช่าเลือกที่จะยกเลิกสัญญาได้หากไม่ต้องการซื้อบ้าน โดยไม่มีบทลงโทษรุนแรง 

          •  มีโอกาสในการเป็นเจ้าของมากขึ้น: ผู้เช่าสามารถอาศัยอยู่ในบ้านพร้อมกับสะสมเงินทุน สร้างความมั่นคงในทรัพย์สิน และปรับปรุงเครดิตเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการซื้อบ้านในอนาคต เนื่องจากส่วนหนึ่งของค่าเช่ารายเดือนจะสะสมเป็นเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้านในอนาคต 

          •  มีเครื่องมือในการช่วยปรับปรุงเครดิต: มีบริการให้คำปรึกษาทางการเงินและเครื่องมือปรับปรุงเครดิต เพื่อเพิ่มโอกาสในการกู้เงินซื้อบ้านในอนาคต 

          •  ความโปร่งใสที่มากขึ้น: มีการระบุเงื่อนไขชัดเจน เช่น ราคาซื้อขายในอนาคต การแบ่งค่าเช่าเป็นเครดิต และความรับผิดชอบในการซ่อมแซม เป็นต้น 

          •  การแก้ปัญหาความไม่สามารถซื้อบ้าน: ด้วยการล็อกราคาซื้อในอนาคต และนำส่วนหนึ่งของค่าเช่าไปใช้เป็นเงินดาวน์ ทำให้ผู้เช่าเพื่อซื้อสามารถเข้าถึงการเป็นเจ้าของบ้านได้มากง่ายขึ้น 


โมเดลเช่าเพื่อซื้ออสังหาฯ นวัตกรรมใหม่ในไทย
 

          แม้โมเดลการเช่าเพื่อซื้อในตลาดต่างประเทศถูกแนะนำให้รู้จักในวงกว้างมานานแล้ว แต่ในไทยยังนับว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เช่าเพื่อซื้ออสังหาฯ” เพิ่งเกิดขึ้น 4-5 ปี ที่ผ่านมานี้เอง
 

          บริษัทจัซแมทช์ (JUZMATCH) นับว่าเป็นรายแรก  ที่นำโมเดลการเช่าเพื่อซื้อมาพัฒนา ให้เข้ากับบริบทในสังคมไทย โดยเมื่อปี ค.ศ.2019 ด้วยราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ของคนไทย อีกทั้งคนไทยกว่า 50% ประสบปัญหาการกู้บ้านไม่ผ่าน รวมถึงกลุ่มที่ทำอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ประกอบการ ที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ มีรายได้ไม่คงที่ หรือไม่มีเอกสารหลักฐานเงินเดือนตามเกณฑ์ จึงทำให้ไม่สามารถกู้สินเชื่อบ้านได้ตามศักยภาพที่มี โดยโมเดลเช่าเพื่อซื้อของ JUZMATCH มีการเพิ่มนวัตกรรมการแมตชิ่ง ระหว่างผู้เช่าเพื่อซื้อ ผู้ขาย และนักลงทุน เข้าด้วยกัน ซึ่งมีลักษณะเด่นกว่าแบบเดิม ดังนี้
 

          •  มีนวัตกรรมการแมตชิ่ง ที่ปลอภัย ทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์พร้อมกัน:

ผู้เช่าเพื่อซื้อเข้าอยู่ได้เลยใน 60 วัน ผู้ขายมีสภาพคล่อง นักลงทุนทั้งลงทุนเงินสด และนักลงทุนที่ใช้เครดิตที่เหลือลงทุน ได้ผลตอบแทนที่มั่นคง และการที่ JUZMATCH ไม่ต้องเป็นผู้ลงทุนเอง ทำให้โมเดลนี้มีศักยภาพในการเติบโตจากการที่สามารถช่วยคนได้ จำนวนมาก

 
          •  ช่วยให้การเป็นเจ้าของบ้านเร็วขึ้น และได้จริงมากขึ้น:

เนื่องจากผู้เช่าเพื่อซื้อโมเดลนี้ เป็นคนที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ๆ การเพิ่มบริการต่อยอดในการให้คำปรึกษาด้านกฏหมาย ด้านการขอกู้ธนาคารก่อน/เมื่อจบสัญญา ทำให้ผู้เช่าเพื่อซื้อได้บ้านจริง และอาจจะเร็วกว่าสัญญา ตามแต่ความพร้อมของผู้เช่าเพื่อซื้อ

 

โมเดลเช่าเพื่อซื้อ JUZMATCH เหมือนหรือต่างกับโมเดลอื่น ๆ ในไทยอย่างไร 


โมเดลเช่าเพื่อซื้อ กำลังกลายเป็นเทรนด์สำคัญที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีตัวเลขของ JUZMATCH ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลนี้ในประเทศไทย

และจากกราฟจะเห็นว่า JUZMATCH มีอัตราการเติบโตของการส่งมอบบ้านเพิ่มขึ้นกว่า 300% ในระยะเวลา 4 ปี (ค.ศ.2021-2024) หรือเฉลี่ย 73% ต่อปี รวมถึงมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การดูแลที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี และมูลค่าบ้านต่อหลังเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 4.25 ล้านบาท เป็น 4.8 ล้านบาท เท่ากับสูงขึ้นกว่า 209% เมื่อเทียบกับปีแรก หรือเฉลี่ย 45% ต่อปี ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความโดดเด่นของโมเดล เช่าเพื่อซื้อ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่อยากเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างแท้จริง ด้วยความน่าเชื่อถือ มาตรฐานสูง ความปลอดภัย และประสบการณ์ยาวนานกว่า 5 ปี ทำให้ JUZMATCH ได้ส่งมอบบ้านให้คนไทยไปแล้วมากกว่า 2,000 หลัง ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าแนวคิดนี้สามารถแก้ปัญหาและเติมเต็มความฝันของคนไทยในการเป็นเจ้าของบ้านได้อย่างยั่งยืน 

 

คุณเหมาะสมกับการ…เช่าเพื่อซื้อ หรือไม่ ?  
 

ถ้าถามคนอื่น คุณอาจได้ความเห็นต่าง ๆ นานา
 

          “ซื้อไปเลย ดีกว่ามั้ย ถูกกว่า …”

          “เช่าดีกว่า คล่องตัว ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไม่เป็นภาระ…”

          “เช่าเพื่อซื้อดีที่สุด ได้ลองอยู่แบบเป็นเจ้าของเลย แล้วตัดสินใจซื้อทีหลัง…”
 

จริง ๆ แล้ว ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีไปกว่าตัวคุณเอง เพราะบริบท เงื่อนไข ความจำเป็นในชีวิต จังหวะชีวิตของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน มาดูกันว่า...ซื้อ เช่า หรือเช่าเพื่อซื้อมีข้อดี ข้อควรระวังอย่างไร และแบบไหนเหมาะกับคุณ

 


          ได้คำตอบให้ตัวเองแล้วหรือยังว่า คุณเหมาะสมกับการ…เช่าเพื่อซื้อ หรือไม่? ถ้าคุณคิดว่าเช่าเพื่อซื้อ เหมาะกับคุณในตอนนี้ นี่คือตัวอย่างเรื่องราวผู้เช่าเพื่อซื้อตัวจริง 
 

          •  คุณจารุวรรณ พนักงานประจำที่อยากซื้อบ้านในฝัน แต่เนื่องจากเครดิตเสียชั่วคราว และไม่เชี่ยวชาญด้านการขอกู้ธนาคาร จึงกู้ธนาคารไม่ผ่าน จึงตัดสินใจเช่าเพื่อซื้อบ้านกับ JUZMATCH เพื่อให้สามารถเป็นเจ้าของบ้านในฝันได้โดยไม่ต้องรอ  (ฟังคลิปเรื่องจริงเพิ่มเติมได้ ที่นี่) 

          •  คุณแพรวา ที่ครอบครัวเคยอยู่บ้านพักข้าราชการ หลังจากคุณพ่อเกษียณ จึงต้องการหาบ้านที่ปลอดภัยและเหมาะให้พ่อ-แม่ ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข แต่ด้วยตนเองเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่มีสลิปเงินเดือน ไม่ได้เดินสเตตเมนต์ จึงมั่นใจว่ากู้ธนาคารไม่ผ่าน จึงเลือกเช่าเพื่อซื้อบ้านกับ JUZMATCH ซึ่งทำให้การมีบ้านสำหรับคนประกอบอาชีพอิสระ เป็นเรื่องง่าย และเป็นไปได้ (ฟังคลิปเรื่องจริงเพิ่มเติมได้ ที่นี่

          •  คุณจิราวัฒน์ เจ้าของกิจการ ที่ต้องการหาสถานที่ทำเลทองเพื่อขยายธุรกิจคลินิก หลังจากที่เจอโครงการถูกใจที่ยูนิตจำกัด ด้วยความที่เป็นผู้บริหารที่ยุ่ง ไม่ต้องการเสียเวลากับการเตรียมเอกสาร และขอกู้ธนาคาร ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสในการสร้างรายได้ จึงตัดสินใจเช่าเพื่อซื้อกับ JUZMATCH เพราะง่าย เร็ว และมีการันตีย้ายเข้าอยู่ได้เลยภายใน 60 วัน หลังจากนั้นใช้เวลาเพียง 6 เดือน ทีม JUZMATCH ช่วยวางแผนบริหารเงินให้ จนสามารถย้ายไปกู้ต่อกับธนาคารได้ และยังได้ผลประโยชน์เพิ่มเติมคือการที่ราคาที่นั้นสูงขึ้นอีกด้วย
 

          จากโมเดล “เช่าเพื่อซื้อ” ของ JUZMATCH พิสูจน์แล้วว่าแก้ปัญหาการมีที่อยู่อาศัยของคนกู้ไม่ผ่าน เพื่อช่วยให้มีบ้านได้ง่ายขึ้น และความเป็นเอกลักษณ์ของโมเดลที่ได้เชื่อมโยงความต้องการซื้อ ความต้องการขาย และความต้องการลงทุนเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นโซลูชันที่ win-win-win-win ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ปัจจุบันมีผู้เช่าเพื่อซื้อครบสัญญาและสามารถกู้ออกกับธนาคารได้แล้ว 80 เคส แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพในการดูแลแบบครบวงจร ไม่ทิ้งลูกค้า และมีลูกค้าต่อสัญญาถึง 60 เคส แสดงให้เห็นถึง ความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อ JUZMATCH ด้วยเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใด ในวันนี้เราได้เติมเต็มความฝันให้คนได้มีบ้านอย่างต่อเนื่องและมากกว่า 2,000 ราย
 

          นอกจากนี้ด้วยความที่เป็นผู้นำเบอร์ 1 แพลตฟอร์มโซลูชันเช่าเพื่อซื้อ และลงทุนอสังหาฯ ที่มี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงทุน และ Venture Capital (VC) รายใหญ่ในประเทศไทยอย่าง ECG Research ร่วมสนับสนุน มีกลยุทธ์การเติบโตร่วมกับพาร์ทเนอร์ โดยมีผู้พัฒนาอสังหาฯ มากกว่า 20 แบรนด์ ใน 19 จังหวัด มีพนักงานขาย และทีมที่ปรึกษามืออาชีพรวมมากถึง 200 คน ภายในเวลาไม่ถึง 5 ปีที่พร้อมช่วยเหลือปิดความเสี่ยงหรือข้อควรระวังจากการเช่าเพื่อซื้อ เรียกได้ว่าวันนี้ JUZMATCH กำลังเติบโตและยังมีศักยภาพในการเติบโตและช่วยทรานส์ฟอร์มชีวิตผู้คนได้อีกมาก
 

          หากคุณกำลัง...เช่าบ้านอยู่ แล้วเสียดายเงิน อยากจ่ายแล้วได้เป็นเจ้าของบ้านในอนาคต ลองมาเช็กราคา “เช่าเพื่อซื้อ” กับเรา 

          ​หากคุณกำลัง...อยากซื้อบ้าน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ไม่รู้ว่าจะกู้ผ่านไหม จะวุ่นวายใช้เวลานานหรือเปล่า ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ลองมารับคำปรึกษาจากเราได้ฟรี  
 

          JUZMATCH มีทีมงานมืออาชีพรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาการขาย ผู้แนะนำการลงทุนด้านหลักทรัพย์ ทีมกฎหมาย ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการขอสินเชื่อธนาคาร ที่พร้อมช่วยปลดล็อกความต้องการ ปลดปล่อยศักยภาพของคุณ 

 

JUZMATCH: Unlock Your Passion, Unleash Your Potential  

ป้ายกำกับ:

แชร์:

บทความอื่นๆ

image
บทความ
คนเลี้ยงสัตว์ต้องรู้ เปิดกฎหมายใหม่การเลี้ยงสัตว์ในกรุงเทพฯ ก่อนโดนปรับสูงสุด 25,000.-

คนเลี้ยงสัตว์ต้องรู้ เปิดกฎหมายใหม่การเลี้ยงสัตว์ในกรุงเทพฯ เตรียมบังคับใช้ ข้อบัญญัติควบคุมการเลี้ย...

16 ก.ย. 2568
image
การลงทุน
สรุปเทรนด์การลงทุนที่ฉลาดและปลอดภัย จากงาน JUZMATCH Investor Club 2025

         ในภาวะที่เศรษฐกิจผันผวน ตลาดเงินและตลาดทุนไร้ทิศทาง นักลงทุนจำนวนมากกำลังมองหาทางเลือกใหม่...

20 ส.ค. 2568
image
การลงทุน
ทางเลือกการลงทุน (Alternative Investment) หากคิดจะลงทุนอสังหาฯ ทำไมต้องลงทุนกับ JUZMATCH

         ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องอธิบายยาว ว่าทำไมต้องลงทุนด้วย แต่ในปัจจุบันไม่ต้องพูดเยอะ โดยเฉพาะช...

6 พ.ค. 2568